บทที่หนึ่ง
“มีแต่เรื่องนั้นที่ทำให้ฉันเชื่อว่าพวกโฮตยังเป็นมนุษย์กับเขาอยู่หลังจากดัดแปลงพันธุกรรมกันไปตั้งไม่รู้เท่าไหร่”
-ไมล์ส วอร์โคสิกัน-
“ต้องพูดว่า ‘การทูตคือการสงครามที่อยู่ในมือคนอื่น’ ใช่มั้ย” อิวานถาม “หรือว่าต้องกลับกันนะ ‘การสงครามคือการทูต—’”
“การทูตทั้งหลายล้วนเป็นเพียงการสงครามที่ดำเนินต่อไปในรูปแบบอื่น” ไมล์สท่องเป็นชุด “โจวเอินไหล ศตวรรษที่ 20 ดาวเคราะห์โลก”
“นายนี่มันตัวอะไรกัน สารานุกรมเดินได้หรือไง”
“ฉันน่ะไม่ แต่ถังน่ะใช่ หมอนั่นสะสมสุภาษิตของปราชญ์จีนโบราณและบังคับให้ฉันท่องจำ”
“แล้วตาเฒ่าโจวที่ว่าเป็นนักการทูตหรือนักรบล่ะ”
เรือเอกไมล์ส วอร์โคสิกัน ใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง “ฉันว่าต้องเป็นนักการทูตแน่ๆ”
สายรั้งนิรภัยรัดแนบตัวไมล์สเมื่อไอพ่นปรับระดับทำงานและบังคับให้ยานเล็กลำหรูเลี้ยวไป ภายในนี้มีแค่เขากับอิวานนั่งหันหน้าเข้าหากันอย่างเหงาๆ อยู่บนเบาะยาวคนละตัวซึ่งทอดไปตามลำยานสั้นๆ ไมล์สชะเง้อข้ามไหล่นักบินเพื่อแอบดูดาวเคราะห์ที่หมุนรอบตัวเองอยู่เบื้องล่าง
เอตาเซตา 4 คือดาวอันเป็นทั้งนครหลวงและมาตุภูมิของอาณาจักรเซตากันดาอันไพศาล พจนานุกรมของคนสติดีๆ ทุกคนย่อมเห็นพ้องต้องกันกับไมล์สว่าดาวเคราะห์ที่พัฒนาแล้วแปดดวงกับพันธมิตรและประเทศราชอีกเท่าๆ กันคู่ควรกับคำว่าไพศาล แต่บรรดาขุนนางเจ็มแห่งเซตากันดาก็ยังอยากไพศาลไปให้มากกว่านี้อีกสักนิดและล่วงล้ำอาณาเขตของเพื่อนบ้านอีกสักหน่อยทันทีที่สบโอกาส
เอาเถอะ ไม่ว่าใครจะใหญ่โตขนาดไหนก็ยังส่งยานรบผ่านรูหนอนได้ทีละลำเหมือนกับคนอื่นๆ นั่นละ
ปัญหาก็คือยานของบางคนนี่มันดันใหญ่ ฉิบหายด้วยน่ะสิ
ชายผ้าหลากสีแห่งรัตติกาลสะบัดแตะชายขอบของดาวเคราะห์พร้อมกันกับที่ยานเล็กค่อยๆ ปรับความเร็วให้สอดคล้องกับรอบวงโคจรของสถานีเชื่อมต่อที่จะเข้าไปเทียบท่าซึ่งต่างกับความเร็วตั้งต้นที่เท่ากับยานเดินสารบาร์รายาร์อันเป็นต้นทาง ซีกโลกที่ตกอยู่ในยามราตรีนั้นระยิบระยับจนปวดตา จุดแสงวิบวับเกลื่อนกลาดไปทั่วทุกทวีป ให้ตายเถอะ แสงแห่งความศิวิไลซ์นั้นสว่างพอให้อ่านหนังสือได้ด้วยซ้ำ สว่างอย่างกับจันทร์เต็มดวง และทำให้ดาวบาร์รายาร์บ้านเกิดของไมล์สกลายเป็นดาวบ้านนอกมืดตื๋อห่างไกลความเจริญที่มีแค่แสงจากเมืองเล็กตรงโน้นนิดตรงนี้หน่อยขึ้นมาทันที อาภรณ์ที่ปักด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงของดาวเอตาเซตาช่างฉูดฉาดเสียนี่กระไร ใช่แล้ว ประโคมหนักจนเกินไป เหมือนผู้หญิงที่โปะเครื่องเพชรจนเต็มตัว ไร้รสนิยมที่สุด ไมล์สพยายามกล่อมตัวเอง นายไม่ใช่ไอ้บ้านนอกที่ไหนนะเฟ้ย นายรับมือได้ นายคือลอร์ดวอร์โคสิกันผู้เป็นทั้งนายทหารชั้นสัญญาบัตรและผู้ดีมีตระกูลเชียวนะ
เรือเอกอิวานเองก็เป็นทั้งสองอย่างเช่นกัน แต่ข้อเท็จจริงนั้นกลับไม่ได้ทำให้ไมล์สใจชื้นขึ้นเลยสักนิด ไมล์สพิจารณาลูกพี่ลูกน้องหนุ่มสูงใหญ่ผู้กำลังชะเง้อมองภาพตรงหน้าเช่นกัน ดวงตาคู่นั้นเป็นประกาย ริมฝีปากเผยอเล็กน้อย แสดงอาการตื่นตาตื่นใจกับจุดหมายปลายทางเบื้องล่าง เอาเถอะ อย่างน้อยอิวานก็ดูสมบทบาทเจ้าหน้าที่การทูตทุกกระเบียดนิ้ว ตั้งแต่ร่างสูง ผมดำขลับ และท่าทางสะอาดสะอ้าน ไปจนถึงใบหน้าหล่อเหลาที่เผยรอยยิ้มดูเป็นธรรมชาติตลอดเวลากับร่างกำยำที่สวมเครื่องแบบสนามของนายทหารสัญญาบัตรได้ขึ้นเป็นที่สุด เจ้านิสัยเสียที่ฝังรากลึกของไมล์สเริ่มเอาตัวเองไปเปรียบเทียบเพื่อขยี้จุดด้อยอีกแล้ว
เครื่องแบบของไมล์สนั้นต้องสั่งตัดมาเป็นพิเศษถึงจะพอดีตัวเขาและช่วยอำพรางความผิดปกติแต่กำเนิดระดับมหึมาซึ่งการรักษานานนับปีแก้ไขไปแล้วไม่น้อย เขาควรจะตื้นตันที่ทีมแพทย์มาได้ไกลขนาดนี้ทั้งที่มีวัตถุดิบแค่หยิบมือ หลังรักษาตัวมาชั่วชีวิตไมล์สก็มาหยุดอยู่ที่ความสูงสี่ฟุตเก้านิ้ว หลังค่อม และกระดูกเปราะ แต่ก็ดีกว่าการเป็นตัวยึกยือในกระป๋องให้ใครหิ้วไปมา เรื่องนั้นมันของแน่
เขายืนได้ เดินได้ และหากจำเป็นก็วิ่งได้ ถึงจะมีเหล็กดามขาอยู่แบบนี้ก็เถอะ และสำนักความมั่นคงแห่งจักรวรรดิก็ไม่ได้จ้างเขาให้มายืนหล่อ ขอบคุณพระเจ้า แต่จ้างมาให้ใช้สมองต่างหาก ถึงอย่างนั้นไมล์สก็ยังอดคิดแง่ร้ายไม่ได้ว่าเขาถูกส่งมาร่วมขบวนแห่นี้เพื่อเป็นตัวเปรียบเทียบให้อิวานยิ่งดูหล่อเฉยๆ หรือเปล่า ที่แน่ๆ ก็คืออิมพ์เซคไม่ได้มอบหมายภารกิจอื่นใดที่น่าสนใจให้สักอย่าง เว้นแต่จะถือว่าประโยคลงท้ายไร้น้ำใจของอิลลิยัน นายใหญ่แห่งอิมพ์เซคที่ว่า “…แล้วก็อย่าไปก่อเรื่องเข้าล่ะ!” เป็นภารกิจลับอย่างหนึ่ง
แต่จะว่าไป อิวานอาจเป็นฝ่ายที่ถูกส่งมาเป็นตัวเปรียบเทียบให้ไมล์สยิ่งดูฉลาดก็ได้ เมื่อคิดได้อย่างนี้ ไมล์สก็ร่าเริงขึ้นนิดหน่อย
และแล้วสถานีเชื่อมที่ระดับวงโคจรก็ปรากฏให้เห็นตรงตามกำหนดเป๊ะ ไม่มียานลำใดได้รับอนุญาตให้แล่นฝ่าชั้นบรรยากาศของเอตาเซตาลงไปจอดตรงๆ ต่อให้เป็นยานของคณะทูตก็ตาม การกระทำเช่นนั้นถือว่าเสียมารยาทอย่างยิ่ง และเสี่ยงต่อการถูกตักเตือนด้วยปืนใหญ่พลาสมา เอาเถอะ ไมล์สก็ยอมรับว่าดาวที่เจริญแล้วแทบทุกดวงล้วนมีกฎเกณฑ์เช่นนี้ อย่างน้อยๆ ก็เพื่อป้องกันการปนเปื้อนทางชีวภาพจากต่างดาว
“สงสัยจังว่าพระพันปีเสียชีวิตด้วยเหตุธรรมชาติจริงไหม” ไมล์สถามลอยๆ เพราะไม่คิดว่าอิวานจะให้คำตอบได้อยู่แล้ว “เรื่องมันปุบปับน่าดู”
อิวานยักไหล่ “นางน่ะรุ่นแม่ของปู่ใหญ่ปิออตร์เชียวนะ ท่านปู่เองก็แก่มาเป็นชาติแล้ว ตอนเด็กๆ ฉันกลัวเขาจนหัวหดเลยเหอะ ทฤษฎีของนายก็หลอนๆ ดีนะ แต่ฉันว่าไม่หรอก”
“ฉันเกรงว่าอิลลิยันจะเห็นด้วยกับนาย ไม่งั้นคงไม่ยอมให้พวกเรามาหรอก ถ้าคนที่ตายเป็นจักรพรรดิแห่งเซตากันดา แทนที่จะเป็นยายแก่คนหนึ่ง งานคงน่าเบื่อน้อยกว่านี้เยอะ”
“ขืนเป็นแบบนั้นพวกเราจะได้มาอยู่ตรงนี้เรอะ” อิวานแย้งอย่างมีเหตุมีผล “มีหวังถูกส่งไปนั่งเฝ้าด่านที่ไหนสักแห่งทั้งคู่ ขณะที่พวกเจ้าชายต่อสู้ชิงบัลลังก์กัน แบบนี้ดีกว่าตั้งเยอะ ได้เที่ยว ได้กิน ได้เจอหญิง ได้เล่น—”
“นี่มันงานศพ ระดับรัฐพิธีนะ อิวาน”
“แหม ให้ฉันฝันหน่อยไม่ได้หรือไง”
“ยังไงก็เถอะ เราถูกส่งมาสังเกตการณ์เฉยๆ และกลับไปเขียนรายงาน แต่จะรายงานเรื่องอะไรหรือรายงานไปทำไมฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน อิลลิยันย้ำว่าเขาต้องการรายงานเป็นลายลักษณ์อักษร”
อิวานร้องโอดโอย “วันหยุดของข้าพเจ้า โดยเด็กชายอิวาน วอร์พาทริล อายุยี่สิบสองขวบ อย่างกับตอนอยู่ประถมแน่ะ”
วันครบรอบวันเกิดปีที่ยี่สิบสามของไมล์สจะมาถึงก่อนอิวานในไม่ช้า หากภารกิจน่าเบื่อนี้สิ้นสุดลงตามกำหนด ปีนี้ไมล์สก็จะได้กลับบ้านทันฉลองวันเกิดกับเขาบ้าง คิดแล้วก็ดีเหมือนกัน ดวงตาของไมล์สเป็นประกายวาววับ “แต่ก็เอาเถอะ ได้ใส่สีตีไข่ในรายงานเพื่อความบันเทิงของอิลลิยันสักหน่อยก็คงสนุกดีเหมือนกัน ทำไมรายงานของทางราชการต้องเขียนออกมาแห้งแล้งน่าเบื่อเหมือนกันไปหมดทุกทีด้วยนะ”
“ก็เพราะมันเป็นผลิตผลของสมองอันจืดชืดน่าเบื่อน่ะสิ ลูกพี่ลูกน้องผู้ใฝ่การละครแต่ไร้เวทีให้เฉิดฉายของฉัน ยังไงก็อย่าเพลินนักล่ะ อารมณ์ขันของอิลลิยันน่ะเป็นศูนย์ รู้สึกจะเป็นคุณสมบัติประจำตำแหน่ง…”
“ก็ไม่รู้สินะ…” ไมล์สมองยานเล็กลัดเลาะไปตามเส้นทางการบินที่กำหนด สถานีเชื่อมต่อดูจะใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว ใหญ่โตราวกับภูเขา ซับซ้อนราวกับแผงวงจร “ถ้าได้พบนางตัวเป็นๆ คงสนุกดี ผู้หญิงคนนั้นได้เห็นประวัติศาสตร์มากมายเกิดขึ้นกับตามาตั้งศตวรรษครึ่งเชียวนะ ถึงจะมองจากมุมแปลกๆ ในฮาเร็มของพวกโฮตก็เถอะ”
“โอ๊ย พวกป่าเถื่อนชั้นต่ำจากต่างดาวอย่างเราไม่มีวันได้เฉียดใกล้นางหรอก”
“อืม ก็คงจริงของนาย” ยานเล็กของไมล์สหยุดรอให้ยานเซตากันดาลำยักษ์ติดสัญลักษณ์ของมณฑลดาราดวงหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนผ่านไป แต่เคลื่อนเท่าไหร่ก็ไม่หมดเสียที มวลอันมหาศาลขยับเข้าสู่ช่องจอดอย่างแสนจะระมัดระวัง “ลอร์ดโฮตผู้ครองตำแหน่งข้าหลวงใหญ่ประจำทุกมณฑล—พ่วงด้วยขบวนผู้ติดตาม—จะมารวมตัวกันที่นี่ ฝ่ความมั่นคงของเซตากันดาต้องกำลังสนุกกันใหญ่แน่ๆ”
“ขอแค่มีข้าหลวงใหญ่จากมณฑลไหนโผล่มาสองคน ที่เหลือก็คงต้องตามมากันหมดนั่นละ จะปล่อยให้ใครคลาดสายตาไปได้ยังไง” อิวานเลิกคิ้ว “คงอลังการไม่ใช่เล่น พิธีกรรมที่ยกระดับขึ้นไปเป็นศิลปะแขนงหนึ่ง แต่ก็นะ พวกเซตากันดานี่แค่สั่งน้ำมูกยังต้องทำให้เป็นศิลปะเลย จะได้ปรายตาเหยียดหยามคนอื่นได้ถ้าเผลอทำผิด ช่างเกทับกันเป็นที่หนึ่ง”
“มีแต่เรื่องนั้นที่ทำให้ฉันเชื่อว่าพวกโฮตยังเป็นมนุษย์กับเขาอยู่หลังจากดัดแปลงพันธุกรรมกันไปตั้งไม่รู้เท่าไหร่”
อิวานเบ้หน้า “ถึงจะกลายพันธุ์อย่างตั้งใจก็ยังถือว่ากลายพันธุ์อยู่ดี” พอเหลือบเห็นว่าจู่ๆ ลูกพี่ลูกน้องก็ทำตัวแข็ง อิวานก็กระแอมนิดหนึ่งก่อนจะหันไปชะเง้อหาสิ่งที่น่าสนใจนอกยาน
“นายนี่ช่างมีวาทศิลป์ดีจริงนะ อิวาน” ไมล์สกัดฟันพูดพร้อมรอยยิ้ม “ยังไงก็อย่าเผลอไปก่อสงครามด้วยวาทศิลป์นั่นเข้าล่ะ” ทั้งสงครามกับคนใกล้และคนไกล
อิวานยักไหล่กลบเกลื่อนอาการปากพล่อยของตน ทหารช่างยศจ่าชาวบาร์รายาร์สวมชุดสนามสีดำผู้รับหน้าที่นักบินขับยานลำน้อยเข้าเทียบท่าในช่องที่กำหนดไว้อย่างนิ่มนวล ทิวทัศน์ภายนอกหดเหลือเพียงเงาสลัว แผงควบคุมกะพริบไฟต้อนรับอย่างร่าเริง และมอเตอร์เซอร์โวก็ส่งเสียงหึ่งๆ ยามที่ปล่องเชื่อมยานประกบและล็อกเข้าที่ ไมล์สปลดสายนิรภัยช้ากว่าอิวานนิดหนึ่ง พร้อมวางมาดไม่ยี่หระ หรือเจนโลก หรืออะไรสักอย่างนี่ละ เขาจะไม่ยอมทำท่าชะเง้อชะแง้เอาหน้าแนบกระจกเหมือนลูกหมาให้พวกเซตากันดาหน้าไหนได้เห็นเป็นอันขาด ไมล์สคนนี้เป็นคนตระกูลวอร์โคสิกัน แต่หัวใจเขาก็ยังเต้นรัวอยู่ดี
เอกอัครราชทูตบาร์รายาร์ประจำเซตากันดาน่าจะมารอรับแขกระดับสูงทั้งสองด้วยตัวเอง และไมล์สก็หวังว่าอีกฝ่ายจะช่วยชี้แนะพวกเขาด้วย ไมล์สทบทวนคำทักทายและคำเรียกขานอีกฝ่ายตามธรรมเนียม รวมถึงข้อความส่วนตัวจากท่านพ่อซึ่งท่องจำมาเป็นอย่างดีในใจ ยานเล็กล็อกเข้าที่ และประตูที่ผนังยานทางด้านขวาของเบาะยาวที่อิวานนั่งอยู่ก็เปิดออก
ชายคนหนึ่งถลันตัวเข้ามา ก่อนจะชะงักกึกเมื่อคว้าราวจับข้างประตูไว้ได้ เขาจ้องทั้งสองตาค้าง ลมหายใจกระชั้นถี่ ปากขยับพึมพำ แต่จะเป็นคำสบถ บทที่ท่องมา หรือคำภาวนา ไมล์สเองก็ไม่แน่ใจ
ผู้มาใหม่สูงวัยแล้วแต่ยังแข็งแรง แผงไหล่กว้าง ส่วนร่างก็สูงพอๆ กับอิวาน เขาสวมชุดสีเทาเย็นตาขลิบด้วยม่วงอ่อนซึ่งไมล์สคิดว่าเป็นเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่ประจำสถานี บนศีรษะมีไรผมสีขาวบางๆ ปกคลุมอยู่แต่ใบหน้ากลับไร้ขนสักเส้น ไม่มีหนวดเครา ไม่มีคิ้ว กระทั่งไรขนก็ยังไม่มี มือของชายคนนั้นเลื่อนไปที่อกซ้าย ใกล้กับหัวใจ
“มีอาวุธ” ไมล์สร้องเตือน นักบินผู้ตกตะลึงยังปลดสายรั้งนิรภัยไม่เสร็จ ขณะที่ร่างกายของไมล์สก็ไม่เหมาะจะกระโจนไปขวางใคร แต่ปฏิกิริยาโต้ตอบของอิวานผ่านการขัดเกลามาอย่างดี ถึงจะด้วยการฝึกไม่ใช่ศึกจริงก็เถอะ อิวานออกตัวไปแล้ว เขาคว้ามือจับข้างตัวไว้เป็นหลักยึดแล้วเหวี่ยงตัวไปขวางทางผู้บุกรุก
การต่อสู้ด้วยมือเปล่าในสภาวะไร้น้ำหนักนั้นขลุกขลักเสมอ ส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากเราไม่สามารถซัดใครให้เต็มหมัดได้เว้นแต่จะกอดฝ่ายนั้นไว้แน่นๆ ก่อน สุดท้ายทั้งคู่จึงลงเอยด้วยการเล่นมวยปล้ำ ผู้บุกรุกควานมือเปะปะ ทว่าสิ่งที่พยายามตะปบกลับไม่ใช่กระเป๋าเสื้อ แต่เป็นกระเป๋ากางเกงข้างขวา และอิวานก็ปัดปืนตัดขั้วประสาทหลุดจากมืออีกฝ่ายได้สำเร็จ
ปืนที่ว่าปลิวไปกระทบผนังยาน กระดอนกลับมา และกลายเป็นภัยที่คุกคามทุกคนบนยานอย่างเท่าเทียมกัน
ไมล์สเป็นโรคกลัวปืนตัดขั้วประสาทมาแต่ไหนแต่ไรก็จริง แต่ไม่เคยกลัวถูกมันโขกหัวมาก่อน เขาต้องดีดตัวจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งอยู่สองรอบกว่าจะคว้ามันไว้ได้โดยไม่เผลอทำปืนลั่นใส่ตัวเองหรืออิวานเข้า ปืนนั้นกระบอกเล็กกว่าปกติ แต่ก็ชาร์จไฟมาเต็มพร้อมสังหาร
อิวานอ้อมไปด้านหลังของชายสูงวัยและบิดแขนอีกฝ่ายไพล่หลัง ไมล์สฉวยโอกาสนี้ชิงอาวุธชิ้นที่สอง เขากระชากเสื้อกั๊กสีม่วงให้เปิดออกแล้วล้วงหาวัตถุที่ซุกอยู่ในกระเป๋าด้านใน สิ่งที่ติดมือกลับมาเป็นแท่งโลหะสั้นๆ ซึ่งทีแรกไมล์สนึกว่าเป็นกระบองไฟฟ้า
ชายคนนั้นแผดเสียงลั่นพร้อมดิ้นรนสุดชีวิต ไมล์สผู้ตกใจในปฏิกิริยาของอีกฝ่ายและไม่แน่ใจว่าตัวเองเพิ่งทำอะไรลงไปเร่งดีดตัวออกห่างจากการต่อสู้และหลบไปอยู่หลังนักบินเพื่อความปลอดภัย ฟังจากเสียงร้องเหมือนถูกเชือดนั่นแล้ว เขานึกว่าเพิ่งกระชากแบตเตอรี่เลี้ยงหัวใจเทียมหรืออะไรทำนองนั้นหลุดติดมือมา แต่ชายสูงวัยก็ยังมีแรงสู้ แปลว่ามันไม่ใช่เรื่องถึงตายขนาดนั้น
ผู้บุกรุกสะบัดอิวานหลุดแล้วถอยไปที่ประตู และจังหวะพักพิลึกๆ ที่มักจะเกิดขึ้นในการต่อสู้ระยะประชิดก็มาเยือน ต่างคนต่างหอบแฮกขณะที่อะดรีนาลินพลุ่งพล่าน ชายสูงวัยจ้องไมล์สที่กำแท่งโลหะไว้ในมือ สีหน้าเปลี่ยนจากหวาดหวั่นเป็น—เดี๋ยวนะ นั่นแววสาแก่ใจรึ ไม่ใช่หรอกน่า หรือปิ๊งแวบอะไรบ้าๆ เข้า?
เมื่อนักบินเข้าร่วมวงอีกคน ผู้บุกรุกก็ล่าถอยโดยการตีลังกากลับหลังลงไปในปล่องเชื่อม จากนั้นเสียงฝีเท้ากระทบพื้นก็แว่วขึ้นมาจากโรงจอด ไมล์สตะกายลงปล่องตามอิวานไปทันเห็นผู้บุกรุกซึ่งกลับมาทรงตัวได้มั่นคงด้วยแรงโน้มถ่วงเทียมของสถานี ถีบเท้าที่สวมรองเท้าบู๊ตใส่ยอดอกอิวานจนเขากระเด็นกลับมายังปากปล่องเชื่อม กว่าไมล์สกับอิวานจะแงะตัวเองออกจากกันสำเร็จ และกว่าอาการหายใจไม่ออกของอิวานจะทุเลาลงจนเบาใจได้ ชายสูงวัยก็วิ่งหายไปเสียแล้ว ฝีเท้าที่ก้องไปมาชวนให้สับสน หมอนั่นออกไปทางไหนกันแน่ หลังปราดตามองแวบหนึ่งให้แน่ใจว่าผู้โดยสารปลอดภัยดีชั่วขณะ นักบินก็วิ่งกลับไปตอบสัญญาณที่ดังมาจากระบบสื่อสารภายในยาน
อิวานลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่น แล้วมองไปรอบตัว ไมล์สเองก็เช่นกัน ทั้งคู่อยู่ในช่องจอดยานขนส่งสินค้าที่ทั้งมืด ทั้งโทรม ทั้งแคบ
“นี่นะ” อิวานเอ่ยขึ้น “ถ้าหมอนั่นเกิดเป็นเจ้าหน้าที่ศุลกากรขึ้นมา พวกเราต้องซวยแน่”
“ฉันนึกว่าหมอนั่นจะยิงเรา” ไมล์สว่า “ท่าทางเหมือนมาก”
“นายยังไม่ทันเห็นอาวุธด้วยซ้ำตอนตะโกนบอก”
“ไม่ใช่ท่าถืออาวุธหรอก แต่เป็นแววตาต่างหาก เขาดูเหมือนคนที่กำลังจะทำอะไรสักอย่างที่ตัวเองก็กลัวแทบตาย และสุดท้ายก็ชักอาวุธออกมาจริงๆ”
“หลังจากเราจู่โจมเขา ใครจะไปรู้ว่าจริงๆ หมอนั่นคิดจะทำอะไร”
ไมล์สค่อยๆ หมุนตัวเพื่อสำรวจรายละเอียดรอบด้าน ไม่มีมนุษย์สักคน จะเป็นชาวเซตากันดา บาร์รายาร์ หรืออะไรก็เถอะ “นี่มันไม่ชอบมาพากลสุดๆ ถ้าไม่ใช่ว่าหมอนั่นมาผิดที่ ก็ต้องเป็นเรานี่ละที่มาผิด ช่องเทียบยานของเราไม่น่าจะซอมซ่อขนาดนี้มั้ง ท่านทูตอยู่ที่ไหน กองเกียรติยศอีกล่ะ”
“พรมแดงกับนางระบำก็ไม่มี” อิวานถอนใจ “นี่นะ ถ้าหมอนั่นตั้งใจจะลอบสังหารนายหรือจี้ยานเราจริงๆ ก็น่าจะชักปืนตัดขั้วประสาทออกมาแต่แรกไม่ใช่เหรอ”
“แต่หมอนั่นไม่ใช่เจ้าหน้าที่ศุลกากรแน่ๆ ลองดูทางนู้นสิ” ไมล์สชี้ กล้องวงจรปิดสองตัวบนผนังในตำแหน่งที่จะเก็บภาพได้พอดีถูกกระชากหลุดจากแผงยึดลงมาอยู่ในสภาพห้อยต่องแต่งน่าเวทนา “หมอนั่นทำลายมันก่อนจะบุกขึ้นยาน ฉันไม่เข้าใจเลย ทีมรักษาความปลอดภัยของสถานีควรจะแห่กันมาแล้วสิ…นายคิดว่าสิ่งที่หมอนั่นต้องการคือตัวยานไม่ใช่ตัวพวกเรารึ”
“นายคนเดียวต่างหากเฟ้ย ใครที่ไหนจะไปอยากล่าตัวฉัน”
“หมอนั่นดูกลัวพวกเรามากกว่าที่เรากลัวเขา” ไมล์สแอบสูดลมหายใจลึกๆ หวังว่าหัวใจจะเต้นช้าลง
“เชิญนายไม่กลัวไปคนเดียวเหอะ” อิวานว่า “ฉันน่ะกลัวจะแย่”
“นายเป็นไงบ้าง” ไมล์สถามอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ “ไม่มีซี่โครงหรืออะไรหักไปใช่ไหม”
“อ้อ เออ ฉันไม่ตายหรอก…แล้วนายล่ะ”
“ฉันไม่เป็นไร”
อิวานเหลือบลงมองปืนตัดขั้วประสาทในมือขวาของไมล์สตามด้วยแท่งโลหะในมือซ้ายแล้วย่นจมูก “ว่าแต่อาวุธทั้งหมดไปอยู่ในมือนายได้ไงเนี่ย”
“ฉัน…ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” ไมล์สหย่อนปืนตัดขั้วประสาทกระบอกจิ๋วลงในกระเป๋ากางเกงแล้วชูแท่งปริศนาขึ้นส่องกับแสง “ทีแรกฉันนึกว่ามันเป็นกระบองไฟฟ้าสักรุ่น แต่กลับไม่ใช่ ต้องเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แน่ๆ แต่ดูไม่ออกเลยว่ามันคืออะไร”
“ระเบิดมือ” อิวานช่วยคิด “ระเบิดเวลา เดี๋ยวนี้จะผลิตออกมาให้หน้าตาเหมือนอะไรก็ได้นี่นะ”
“ฉันว่าไม่—”
“ท่านขอรับ” นักบินชะโงกหน้าออกมาทางประตู “หอบังคับการบินไม่อนุญาตให้เราเทียบท่าตรงนี้ พวกเขาสั่งให้เราถอยออกไปรอรับคำอนุญาตเปิดทางใหม่ เดี๋ยวนี้เลยขอรับ”
“กะแล้วว่าเราต้องมาผิดที่” อิวานว่า
“กระผมยึดตามพิกัดที่พวกเขาแจ้งขอรับ” นักบินเสียงแข็งขึ้นมานิดหนึ่ง
“ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกจ่า เรื่องนั้นผมมั่นใจ” ไมล์สปลอบ
“หอบังคับการบินเสียงเข้มมากเลยขอรับ” จ่าทำหน้าเครียด “เชิญเถอะขอรับ”
ไมล์สและอิวานกลับขึ้นยานอย่างเชื่อฟัง ไมล์สรัดสายรั้งนิรภัยเข้าที่ตามความเคยชินขณะที่สมองทำงานเร็วจี๋ พยายามหาคำอธิบายให้พิธีต้อนรับสู่ดาวเซตากันดาอันแปลกประหลาดนี้
“ต้องมีคนจงใจไล่เจ้าหน้าที่ออกไปจากแถวนี้แน่ๆ” เขาสรุปออกมาดังๆ “ฉันกล้าวางเงินเบต้าเป็นเดิมพันเลยว่าหน่วยรักษาความปลอดภัยของเซตากันดากำลังหาตัวหมอนั่นให้จ้าละหวั่น นักโทษหลบหนี ให้ตายสิ” เป็นโจร ฆาตกร หรือสายลับกันนะ ยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น
“ที่แน่ๆ คือหมอนั่นปลอมตัวมา” อิวานว่า
“นายรู้ได้ยังไง”
อิวานหยิบเศษไหมสีขาวออกจากแขนเสื้อสีเขียวที่สวมอยู่ “นี่ไม่ใช่ผมจริง”
“งั้นเรอะ” ไมล์สประทับใจ เขาเพ่งพินิจเศษไหมที่อิวานยื่นให้ดู ปลายด้านหนึ่งเหนียวหนึบเพราะกาว “โฮ่”
นักบินรับพิกัดใหม่เรียบร้อย ตอนนี้ยานเล็กลอยลำอยู่ห่างไปประมาณสองสามร้อยเมตรจากช่องเทียบยานนับสิบที่เรียงรายกันเป็นแถวแต่ไม่มียานเทียบอยู่สักลำ “จะให้แจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นไปยังนายสถานีไหมขอรับ” จ่าเอื้อมไปแตะปุ่มสื่อสาร
“อย่าเพิ่ง” ไมล์สว่า
“แต่ท่านขอรับ” นักบินเอี้ยวคอมามองเขาอย่างลังเล “กระผมว่าเราควร—”
“รอให้พวกนั้นเป็นฝ่ายถามเถอะน่า เราไม่ได้มีหน้าที่ต้องไปเก็บกวาดงานรั่วๆ ของพวกเซตากันดาเสียหน่อย ปัญหาใครก็จัดการกันไปเองสิ”
รอยยิ้มบางๆ ซึ่งเจ้าตัวเร่งซ่อนโดยพลันบ่งบอกว่านักบินเห็นด้วยกับข้ออ้างนี้ “รับคำสั่งขอรับท่าน” เขารับคำอย่างเป็นทางการ ทำให้มันกลายเป็นคำสั่งและตกอยู่ในความรับผิดชอบของนายทหารสัญญาบัตรชั้นสูงอย่างไมล์ส ไม่ใช่ทหารช่างยศจ่าต่ำต้อยคนหนึ่ง “แล้วแต่ท่านจะตัดสินใจขอรับ”
“ไมล์ส” อิวานพึมพำ “นายคิดว่าตัวเองทำอะไรอยู่ฮึ”
“ก็สังเกตการณ์น่ะสิ” ไมล์สวางมาดเป็นทางการ “ฉันกำลังสังเกตการณ์ว่าหน่วยรักษาความปลอดภัยประจำสถานีเซตากันดาทำงานเป็นยังไง นายไม่คิดหรือว่าอิลลิยันน่าจะอยากรู้เรื่องนี้ ยังไงพวกนั้นก็ต้องมาสอบปากคำเราแล้วก็ยึดของคืนไปนั่นละ แต่ทำแบบนี้ฉันจะได้ข้อมูลกลับมาบ้าง ไม่ต้องเครียดหรอกน่า อิวาน”
อิวานทิ้งตัวพิงเก้าอี้ ท่าทีกังวลของเขาค่อยๆ คลายลงเมื่อเวลาผ่านไปโดยไม่มีเรื่องอื่นใดมาขัดจังหวะความเบื่อหน่ายในยานเล็กนี้อีก ไมล์สสำรวจสมบัติที่ชิงมาได้ ปืนตัดขั้วประสาทกระบอกนั้นเป็นปืนพลเรือนที่ทำขึ้นอย่างดี ไม่ใช่ปืนทหาร เพียงเท่านี้ก็ประหลาดแล้ว รัฐบาลเซตากันดาไม่สนับสนุนให้ประชาชนทั่วไปถือครองอาวุธต่อต้านบุคคลที่ถึงตายแบบนี้หรอก แต่มันก็ไร้ลวดลายประดับหรูหราอย่างที่ของเล่นของขุนนางเจ็มสักคนควรมี หน้าตาของมันเรียบง่าย เน้นประโยชน์ใช้สอย ทั้งยังกะทัดรัดเหมาะกับการซ่อนให้ลับตา
เจ้าแท่งโลหะสั้นๆ นั่นยิ่งประหลาดกว่าอีก ผิวหน้าโปร่งใสของมันฝังกากเพชรวิบวับที่คล้ายจะเป็นแค่ลวดลายตกแต่ง แต่ไมล์สแน่ใจว่ากล้องจุลทรรศน์จะเผยให้เห็นวงจรเล็กจิ๋ว ปลายด้านหนึ่งของแท่นนั้นเรียบสนิท ขณะที่อีกด้านมีปลอกซึ่งสลักเป็นลวดลายครอบอยู่
“หน้าตาดูเหมือนมีไว้เสียบอะไรสักอย่าง” เขาเปรยกับอิวานพลางพลิกแท่งโลหะในมือขึ้นส่องแสง
“อาจจะเป็นแท่งหรรษาก็ได้” อิวานยิ้มเยาะ
ไมล์สแค่นหัวเราะ “ใครจะไปรู้รสนิยมขุนนางเจ็มพวกนั้น แต่ฉันว่าไม่น่าใช่” ดวงตราบนปลอกนั้นดูคล้ายนกร้ายกางกรงเล็บคมกริบ และเมื่อมองลึกลงไปในรอยแกะสลักก็จะเห็นเส้นโลหะเงาวับอันเป็นจุดเชื่อมต่อวงจร คู่ของมันอยู่ในมือใครสักคนที่ไหนสักแห่ง ลายที่นูนขึ้นเป็นรูปนกกรีดเสียงซ่อนรหัสซับซ้อนไว้ใช้เปิดปลอกเพื่อเผย…เผยอะไรกัน รหัสอีกชุดงั้นรึ กุญแจสำหรับไขกุญแจ…เลิศเลออะไรอย่างนี้ ไมล์สยิ้มอย่างประทับใจ
อิวานมองเขาอย่างระแวง “นายจะคืนมันไปใช่ไหม”
“แน่นอน ถ้าพวกเขาเอ่ยปากขอ”
“แล้วถ้าไม่ขอล่ะ”
“ก็เก็บไว้เป็นที่ระลึกมั้ง สวยเกินจะโยนทิ้งนี่นา อาจจะถือกลับบ้านไปเป็นของฝากอิลลิยัน ให้แก๊งภูตจิ๋วในแล็บรหัสลับของเขาบริหารสมองเล่นสักหนึ่งปี นี่ไม่ใช่ผลงานของมือสมัครเล่นแน่ๆ ขนาดฉันยังมองออกเลย”
ก่อนที่อิวานจะทันแย้งอะไรต่อ ไมล์สก็ปลดกระดุมเสื้อนอกสีเขียวที่สวมอยู่และซุกเจ้าสิ่งที่ว่าเข้าไปในกระเป๋าด้านในเสียก่อน ไม่กวนตาก็ไม่กวนใจ “เออ นายเก็บเจ้านี่ไว้ไหมล่ะ” เขาโยนปืนตัดขั้วประสาทให้ลูกพี่ลูกน้อง
คราวนี้อิวานให้ความร่วมมืออย่างดี หลังแบ่งสมบัติเรียบร้อย อิวานซึ่งกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดไปแล้วก็ซ่อนอาวุธจิ๋วนั้นไว้ในเสื้อนอกของตัวเองบ้าง กะแล้วว่าความลับและความร้ายของอาวุธนั่นจะทำให้อิวานใจลอยและสุภาพเรียบร้อยไปได้จนพิธีการตรวจคนเข้าเมืองที่รออยู่เสร็จสิ้น
ในที่สุดหอบังคับการบินก็มีคำสั่งให้เข้าเทียบท่าอีกครั้ง ยานประกบเข้ากับช่องเทียบยานซึ่งอยู่ถัดจากเดิมไปสองช่อง คราวนี้ประตูเปิดออกอย่างราบรื่น หลังลังเลนิดหนึ่ง อิวานก็ก้าวเข้าไปในปล่องเชื่อม ไมล์สตามไปติดๆ
ชายเจ็ดคนรอทั้งสองอยู่ในโถงสีเทาซึ่งหน้าตาเหมือนโถงแรกเกือบจะไม่ผิดเพี้ยน เพียงแค่สะอาดและสว่างกว่า ไมล์สรู้ทันทีว่าคนไหนคือทูตชาวบาร์รายาร์ ลอร์ดวอร์ร็อบเยฟเป็นชายร่างเตี้ยตันอายุประมาณหกสิบปีตามมาตรฐานสากล ดวงตาคมกริบ สีหน้ายิ้มแย้ม ทว่าก็เก็บอาการ เขาสวมเครื่องแบบประจำตระกูลวอร์ร็อบเยฟซึ่งเป็นสีแดงก่ำขลิบดำ ไมล์สคิดว่ามันออกจะเป็นทางการเกินโอกาสไปหน่อย องครักษ์ชาวบาร์รายาร์ในเครื่องแบบปกติสีเขียวสี่นายยืนประกบเขาไว้ เจ้าหน้าที่ประจําสถานีชาวเซตากันดาสองคนซึ่งสวมชุดสีม่วงอ่อนขลิบเทาทรงคล้ายกับผู้บุกรุกแต่มีรายละเอียดมากกว่ายืนห่างจากชาวบาร์รายาร์ไปเล็กน้อย
มีแค่เจ้าหน้าที่ประจําสถานีสองคนเนี่ยนะ ตำรวจ หน่วยข่าวกรองทหาร หรืออย่างน้อยที่สุดก็คนของขุนนางเจ็มสักก๊กหนึ่ง คำถามและคนถามที่ไมล์สตั้งหน้าตั้งตารอวิเคราะห์อยู่หายไปไหนกัน
สุดท้ายแล้วเขาก็พบว่าตัวเองกำลังทักทายท่านทูตวอร์ร็อบเยฟราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยบทที่ซ้อมไว้ในทีแรก วอร์ร็อบเยฟเป็นคนรุ่นเดียวกับท่านพ่อของไมล์สและเป็นคนที่ท่านพ่อแต่งตั้งเองตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นผู้สำเร็จราชการ วอร์ร็อบเยฟดำรงตำแหน่งที่มีความสำคัญยิ่งยวดนี้มาได้หกปีแล้ว หลังเกษียณตัวเองจากราชการทหารมารับใช้ชาติในฐานะข้าราชการพลเรือนแทน ไมล์สยั้งตัวเองไว้ไม่ให้ทำวันทยหัตถ์เคารพอีกฝ่าย เพียงแต่พยักหน้าทักทายอย่างเป็นทางการเท่านั้น
“สวัสดียามบ่ายขอรับลอร์ดวอร์ร็อบเยฟ ท่านพ่อฝากคำทักทายมาพร้อมกับเอกสารเหล่านี้ขอรับ”
ไมล์สส่งแผ่นดิสก์บรรจุข้อมูลทางการทูตซึ่งปิดผนึกไว้ให้อีกฝ่าย และเจ้าหน้าที่ฝ่ายเซตากันดาก็บันทึกข้อมูลตามหน้าที่ “สัมภาระหกชิ้นใช่ไหมครับ” เจ้าหน้าที่ชาวเซตากันดาขยับศีรษะเป็นเชิงถามหลังนักบินขนของมาเรียงซ้อนไว้บนแพเหาะที่จอดรออยู่เรียบร้อย ทำวันทยหัตถ์เคารพไมล์ส แล้วกลับไปที่ยาน
“ใช่ เท่านี้ละ” อิวานตอบ ในสายตาของไมล์สนั้น อิวานดูเกร็งๆ มีลับลมคมในและพะวงเรื่องของผิดกฎหมายในกระเป๋าอย่างเห็นได้ชัด แต่ดูเหมือนเจ้าหน้าที่ชาวเซตากันดาจะอ่านสีหน้าของอิวานได้ไม่เก่งเท่าไมล์ส
เมื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายเซตากันดาโบกมือ ท่านทูตก็ผงกศีรษะสั่งให้องครักษ์สองนายแยกไปประกบสัมภาระที่ต้องผ่านการตรวจสอบจากเจ้าบ้าน เจ้าหน้าที่ชาวเซตากันดาปิดประตูช่องเทียบยานแล้วบังคับแพเหาะออกไป
อิวานมองตามไปอย่างกังวล “เราจะได้คืนมาครบทุกชิ้นไหมขอรับ”
“ได้สิ หลังล่าช้านิดหน่อยตามธรรมเนียม” วอร์ร็อบเยฟเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อน “การเดินทางเป็นอย่างไรบ้างหนุ่มๆ”
“ราบรื่นไม่มีเหตุอันใดขอรับ” ไมล์สต่อก่อนที่อิวานจะทันอ้าปาก “เพิ่งจะมามีเหตุก็ที่นี่ พวกเขาต้อนรับแขกชาวบาร์รายาร์ที่นี่เสมอหรือว่ามีเหตุอันใดให้เปลี่ยนแปลงสถานที่ขอรับ” ไมล์สเหล่มองเจ้าหน้าที่เซตากันดาที่เหลืออยู่อีกคน คอยสังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่าย
วอร์ร็อบเยฟยิ้มหยัน “การสั่งให้เราเข้าทางประตูคนงานก็เป็นแค่ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ที่พวกเซตากันดาใช้ตอกย้ำให้เรารู้ที่ต่ำที่สูง เธอคิดถูกแล้ว นี่เป็นการจงใจหยามเกียรติเพื่อกวนประสาทเรา ฉันเลิกสนใจมาหลายปีแล้ว และขอแนะนำให้เธอทำแบบเดียวกัน”
เจ้าหน้าที่ฝ่ายเซตากันดาไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ วอร์ร็อบเยฟทำเหมือนเขาเป็นแค่เครื่องเรือนชิ้นหนึ่ง ส่วนอีกฝ่ายก็ตอบรับด้วยการทำตัวให้เหมือนเครื่องเรือนจริงๆ ดูเหมือนจะเป็นธรรมเนียมของทั้งคู่
“ขอบคุณขอรับ กระผมจะทำตามคำแนะนำของท่าน ว่าแต่…ท่านเองก็ถูกเตะถ่วงเหมือนกันหรือเปล่าขอรับ พวกเราเจอลูกไม้นั้นเข้า นายสถานีอนุญาตให้เราเข้าเทียบท่าไปแล้วรอบหนึ่งก่อนจะสั่งให้เราออกไปเข้าคิวรออีกรอบ”
“ลูกไม้วันนี้ดูจะซับซ้อนเป็นพิเศษนะ ถือว่าเป็นเกียรติละกันท่านสุภาพบุรุษ เชิญทางนี้”
อิวานส่งสายตาอ้อนวอนมาทางไมล์สขณะที่วอร์ร็อบเยฟหันไปทางอื่น ไมล์สสั่นศีรษะนิดหนึ่ง รอก่อนน่า…
ชายหนุ่มทั้งสองเดินตามวอร์ร็อบเยฟขึ้นไปยังชั้นบนของสถานีโดยมีองครักษ์จากสถานทูตคอยประกบและเจ้าหน้าที่เซตากันดาหน้าตายเป็นผู้นำทาง ยานลงสู่ภาคพื้นดินของสถานทูตบาร์รายาร์เทียบท่าอยู่ที่ช่องจอดยานโดยสารของจริง ซึ่งมาพร้อมกับห้องรับรองสุดหรูและปล่องเชื่อมที่ติดตั้งระบบแรงโน้มถ่วงจำลองทำให้ผู้โดยสารไม่ต้องลอยเท้งเต้ง เมื่อถึงตรงนี้ผู้คุมชาวเซตากันดาก็ผละจากไป ท่านทูตดูผ่อนคลายขึ้นทันทีที่ขึ้นยาน เขาพาไมล์สและอิวานไปยังเก้าอี้นวมหนานุ่มซึ่งตั้งอยู่รอบโต๊ะคอมคอนโซลที่ยึดเข้ากับพื้นยาน วอร์ร็อบเยฟพยักหน้าเป็นสัญญาณและองครักษ์นายหนึ่งก็ขยับเข้ามานำเสนอเครื่องดื่มเพื่อฆ่าเวลาขณะรอสัมภาระและคำอนุญาตให้ออกยาน ทั้งสองเลือกไวน์บาร์รายาร์รสนุ่มตามอย่างวอร์ร็อบเยฟ ไมล์สแทบไม่ได้จิบสักคำเพราะกลัวหัวจะไม่แล่น ขณะที่อิวานกับท่านทูตพูดคุยเรื่องสัพเพเหระว่าด้วยการเดินทางและมิตรสหายชาววอร์ที่ทั้งสองมีร่วมกัน ดูเหมือนวอร์ร็อบเยฟจะรู้จักกับแม่ของอิวาน ไมล์สทำเป็นไม่เห็นท่าเลิกคิ้วเป็นพักๆ ของอิวานอันเป็นคำเชิญไร้เสียงให้เขาเข้าร่วมวงและเล่าเรื่องการผจญภัยสั้นๆ กับผู้บุกรุกให้ลอร์ดวอร์ร็อบเยฟฟัง
ทำไมทางการเซตากันดายังไม่แห่กันมารุมสอบปากคำอีกนะ ไมล์สทบทวนความเป็นไปได้ในสมองที่ทำงานจนร้อนจี๋
มันเป็นอุบาย เราเพิ่งเผลองับเหยื่อ ส่วนพวกนั้นก็กำลังผ่อนสายเบ็ดให้เราตายใจ เท่าที่รู้จักพวกเซตากันดามา ไมล์สคิดว่าสถานการณ์นี้มีความเป็นไปได้สูงสุด
หรืออาจจะแค่ล่าช้า อีกสักพักพวกนั้นก็จะตามมาเอง หรือ…อาจจะหลายๆ พัก พวกเขาต้องจับกุมผู้หลบหนีให้ได้ก่อน จากนั้นก็ต้องถูกเค้นให้คายสิ่งที่เกิดขึ้นออกมา ของพรรค์นี้อาจต้องใช้เวลา ยิ่งถ้าหมอนั่นถูกชอร์ตจนหมดสติไประหว่างจับกุมด้วยแล้ว ถ้าหมอนั่นเป็นผู้หลบหนีจริงๆ น่ะนะ และถ้าเจ้าหน้าที่ประจําสถานีไล่ค้นหาไปตามช่องเทียบยาน และถ้า…ไมล์สเพ่งแก้วเจียระไนในมือแล้วกลืนของเหลวสีแดงก่ำกรุ่นกลิ่นควันไม้เข้าไปเต็มคำ ก่อนจะยิ้มให้อิวานอย่างอารมณ์ดี
สัมภาระพร้อมองครักษ์เดินทางมาถึงเมื่อดื่มหมดแก้วพอดี ซึ่งน่าจะเป็นผลลัพธ์จากการกะเวลาอย่างผู้มีประสบการณ์ของวอร์ร็อบเยฟ เมื่อท่านทูตลุกขึ้นไปดูแลเรื่องสัมภาระและการออกเดินทาง อิวานก็ชะโงกข้ามโต๊ะมากระซิบใส่ไมล์สอย่างเร่งร้อน “นี่นายจะไม่เล่าให้เขาฟังเรอะ”
“ไม่ใช่ตอนนี้”
“ทำไมล่ะ”
“นายอยากให้ปืนตัดขั้วประสาทกระบอกนั้นหลุดมือไปเร็วนักหรือไง พนันได้เลยว่าสถานทูตต้องยึดมันไปเร็วไม่แพ้พวกเซตากันดา”
“ช่างหัวปืนนั่นเหอะ นายมีแผนอะไรในใจ”
“ฉันก็…ไม่แน่ใจ ยังไม่แน่ใจ” สถานการณ์ไม่ได้ดำเนินไปอย่างที่ไมล์สคาด เขานึกว่าจะได้ต่อปากต่อคำกับเจ้าหน้าที่เซตากันดาสักฝูงขณะที่พวกนั้นกดดันให้เขาคายสมบัติที่ชิงมาได้ และเก็บเกี่ยวข้อมูลเพิ่มเติมไม่ว่าอีกฝ่ายจะให้โดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ไม่ใช่ความผิดของไมล์สเสียหน่อยที่พวกเซตากันดาไม่ยอมเล่นตามบท
“อย่างน้อยๆ เราก็ต้องรายงานให้ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารประจำสถานทูตรับรู้”
“รายงานน่ะใช่ แต่ผิดคนแล้ว อิลลิยันบอกว่าถ้าฉันเจอปัญหาอะไรเข้า—หมายถึงปัญหาที่เป็นงานของแผนกเรา—ให้ฉันไปหาลอร์ดวอร์รีดี้ เขามีชื่อเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายพิธีการ แต่ความจริงแล้วเป็นผู้พันในสังกัดอิมพ์เซคและเป็นหัวหน้าอิมพ์เซคที่นี่”
“แล้วพวกเซตากันดาไม่รู้เรอะ”
“ก็ต้องรู้อยู่แล้ว เหมือนกับที่เรารู้ว่าใครเป็นใครบ้างในสถานทูตเซตากันดาที่วอร์บาร์สุลตาน่า มันก็แค่นิยายทางกฎหมายเท่านั้นละ ไม่ต้องห่วงน่า เดี๋ยวฉันจัดการเอง” ไมล์สแอบถอนใจ ทันทีที่ได้รับเรื่อง ผู้พันต้องตัดเขาออกจากวงข่าวแน่ๆ และเขาก็ไม่กล้าอธิบายให้ลอร์ดวอร์รีดี้ฟังว่าเหตุใดจึงไม่ควรทำเช่นนั้น
อิวานเอนหลังพิงเก้าอี้ ยอมเงียบไปครู่หนึ่ง แต่ก็ครู่เดียวเท่านั้นละ ไมล์สมั่นใจ
วอร์ร็อบเยฟกลับมานั่งลงแล้วคลำหาสายรั้งนิรภัย “เรียบร้อยแล้ว ท่านสุภาพบุรุษ ไม่มีของหายไม่มีของเกิน ขอต้อนรับสู่ดาวเอตาเซตา 4 วันนี้ไม่มีงานพิธีการที่พวกเธอจำเป็นต้องเข้าร่วม แต่หากไม่เหนื่อยจากการเดินทางจนเกินไป คืนนี้สถานทูตมารีแล็คมีงานเลี้ยงต้อนรับทูตานุทูตและอาคันตุกะอย่างไม่เป็นทางการ ฉันแนะนำให้ไปนะ”
“แนะนำหรือขอรับ” ไมล์สทวนคำ หากใครสักคนซึ่งมีหน้าที่การงานอันยืนยาวและโดดเด่นอย่างวอร์ร็อบเยฟเอ่ยปากแนะนำ ไมล์สก็รู้สึกว่าควรปฏิบัติตาม
“ในช่วงสองสัปดาห์ข้างหน้า พวกเธอจะได้เจอคนเหล่านี้อีกหลายหน” วอร์ร็อบเยฟว่า “งานนี้น่าจะถือเป็นการปฐมนิเทศที่ดี”
“เราควรแต่งตัวอย่างไรดีขอรับ” อิวานถาม สัมภาระหกชิ้นนั่นเป็นของเขาไปสี่ชิ้น
“เครื่องแบบปกติก็พอ” วอร์ร็อบเยฟตอบ “การแต่งกายถือเป็นภาษาอย่างหนึ่งในทุกๆ วัฒนธรรม แต่ที่นี่มันแทบจะเป็นรหัสลับเลยทีเดียว แค่การวางตัวในหมู่เจ็มโดยไม่เผลอก้าวพลาดก็ยากจะแย่แล้ว ยิ่งในหมู่โฮตยิ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่การสวมเครื่องแบบถือเป็นคำตอบที่ถูกต้องเสมอ หรือต่อให้ไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดของผู้สวม เพราะเขาไม่มีทางเลือกอื่น เดี๋ยวฉันจะให้เจ้าหน้าที่พิธีการส่งรายการเครื่องแบบสำหรับแต่ละงานให้อีกที”
ไมล์สโล่งอกขณะที่อิวานดูผิดหวังหน่อยๆ
ปล่องเชื่อมส่งเสียงกึงกังและฟู่เบาๆ ตามปกติเมื่อถูกปลดออก และยานก็เคลื่อนตัวออกจากด้านข้างของสถานี ไม่มีเจ้าหน้าที่กรูเข้ามาพร้อมจับกุม ไม่มีข้อความฉุกเฉินที่เร่งให้ท่านทูตรีบออกจากสถานี ไมล์สพิจารณาความเป็นไปได้ลำดับสาม
ผู้บุกรุกหนีไปโดยไร้ร่องรอย เจ้าหน้าที่ประจําสถานีไม่ระแคะระคายเรื่องการพบปะสั้นๆ นั้นเลยสักนิด อันที่จริงแล้วไม่มีใครระแคะระคายสักคน
เว้นแต่ตัวผู้บุกรุกเอง ไมล์สวางมือไว้ข้างตัว ไม่ให้เผลอแตะแท่งโลหะที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อ ไม่ว่าสิ่งนี้จะคืออะไร หมอนั่นก็รู้ว่าไมล์สได้มันไป และการสืบหาตัวไมล์สก็ไม่ใช่เรื่องยาก นายติดบ่วงฉันแล้ว ถ้าฉันจับเชือกไว้ให้มั่นๆ ก็ต้องสาวได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาบ้างใช่ไหม งานนี้อาจเป็นโอกาสให้ไมล์สได้ซ้อมวิชาต่อต้านจารกรรมเล่นๆ ซึ่งดีกว่าสถานการณ์จำลองตั้งเยอะเพราะมันเป็นของจริง ไม่มีครูถือโพยคอยซุ่มจดความผิดพลาดทั้งหลายของเขาไว้วิจารณ์ให้เละในภายหลัง ถือเป็นสนามซ้อมที่ดี เมื่อถึงจุดหนึ่งนายทหารก็ต้องเลิกทำตามคำสั่งและเปลี่ยนเป็นฝ่ายออกคำสั่งและไมล์สก็หมายตาตำแหน่งนาวาเอกแห่งอิมพ์เซคไว้ ไม่รู้ว่าจะพอเกลี้ยกล่อมให้วอร์รีดี้ยอมให้ไมล์สไขปริศนานี้ต่อทั้งที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ทางการทูตไปพร้อมกันได้ไหม
ไมล์สหรี่ตาด้วยความตื่นเต้น ขณะที่ยานลดระดับลงไปยังชั้นบรรยากาศขาวขุ่นของเอตาเซตา