ตัวอย่างทดลองอ่าน “เดอะโฟลด์ วงแหวนพับมิติ”

ประตูแอลบูเคอร์คี

1

“ฉันว่ามันก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น” เดนีสพูด “ไม่เห็นจะสนุกตรงไหนเลย”

เบ็กกี้กลั้นยิ้ม ถึงแม้เดนีสจะมองไม่เห็นทางโทรศัพท์ก็ตาม ทั้งคู่คุยกันแบบนี้สัปดาห์เว้นสัปดาห์มาสองเดือนแล้ว มันยังคงเป็นการหย่อนใจที่ดีและช่วยฆ่าเวลาจนกว่าเบนจะกลับบ้าน

เธอมักจะกังวลนิดหน่อยเวลาที่เบนไม่อยู่ เบนรับผิดชอบโครงการต่างๆ ที่มีระดับความมั่นคงปลอดภัยสูง ส่วนใหญ่แล้วเกี่ยวกับอาวุธและมักจะอยู่ในพื้นที่สุ่มเสี่ยง

ต้องยอมรับว่าครั้งนี้เป็นหนึ่งในการเดินทางไปทำงานที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุดเท่าที่เขาเคยทำ แค่สี่วันในซานดิเอโก และเป็นโครงการที่ไม่เกี่ยวกับอาวุธใดๆ

“คือว่ามาร์ตี้เขาชอบจริงๆ นะ” เดนีสพูดต่อ “แต่มันดูเหมือนไม่มีอะไรเลยนอกจากนม หิมะ เลือด แล้วก็พวกซอมบี้แช่แข็ง ฉันไม่เก็ตเลย รู้สึกเหมือนแทบไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ จังๆ เลย ห้าปีแล้ว แต่พวกเขาก็ยังพูดกันแต่เรื่องฤดูหนาวอยู่ได้”

เบ็กกี้เก็บรวบรวมถุงเท้า กางเกงใน เสื้อยืดสองตัว กระโปรง และบราที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นห้องนอน เธอไร้ระเบียบอย่างแรงเมื่อได้ครองบ้านคนเดียว เลวร้ายกว่าตอนที่อยู่มหาวิทยาลัยอีก แต่จะเป็นเพราะอะไรเธอก็ยังนึกไม่ออก “แล้วทำไมเธอถึงยังดูอยู่ล่ะ”

“เฮ้อ ก็มาร์ตี้เขาชอบจริงๆ เขาไม่ยอมรับหรอก แต่ฉันคิดว่าเขาชอบดูนมนั่นแหละ นี่พวกเธอยังดูอยู่หรือเปล่า”

เบ็กกี้เดินไปที่ห้องน้ำ แล้วยัดเสื้อผ้าเต็มอ้อมแขนลงไปในตะกร้าใบใหญ่ ห้องน้ำก็รกด้วยเหมือนกัน มีชุดโยคะของเธอกับกางเกงในอีก เธอใช้กางเกงในเยอะขนาดนั้นในสี่วันได้ยังไงกันนะ “เรายังตามหลังอยู่สองตอน แต่ก็ยังดูอยู่” เดนีสพูด “ฉันว่าเขาชอบดูนมด้วยเหมือนกัน แล้วก็พวกมังกร”

เบ็กกี้เอาเท้าวางลงไปในถังผงและเหยียบกดขยะกองเล็กๆ จากห้องน้ำแค่พอให้ดูไม่เหมือนขยะกำลังล้นออกมา “เรากำลังคุยกันเรื่องดูรายการที่อัดไว้แบบมาราธอนสุดสัปดาห์นี้ ทำอะไรให้ผ่อนคลายหน่อยหลังจากเดินทาง”

“เขาจะกลับเมื่อไหร่”

“เครื่องบินลงสักพักแล้วละ” เบ็กกี้ตอบ “เขาส่งข้อความมาบอกว่าต้องแวะที่ทำงานแล้วส่งรายงานสั้นๆ ให้เจ้านายก่อน เขาคงใกล้จะถึงบ้านแล้วมั้ง”

“กำลังเก็บกวาดบ้านรกเละเทะอยู่ใช่มั้ย”

เบ็กกี้หัวเราะ “เธอนี่รู้จักฉันดีจริงๆ”

“ถ้าอย่างนั้นให้เธอไปจัดการดีกว่า”

“ก็น่าจะดีเหมือนกัน”

“อาทิตย์หน้าโทร.หาฉันด้วยนะ” เดนีสพูด “เผื่อเราทุกคนจะได้ไปกินมื้อเย็นที่ร้านอาหารญี่ปุ่นเปิดใหม่ร้านนั้นกัน”

“ตกลง”

เบ็กกี้วางสายและโยนโทรศัพท์ลงบนเตียง เธอมองไปรอบๆ พยายามดูว่ามีอะไรอีกหรือไม่ที่เขาจะล้อเลียนว่าเธอทำรกไว้ มีแก้วไวน์อยู่บนโต๊ะข้างเตียง กับจานที่มีเศษชีสเค้กสองสามชิ้น แล้วก็แก้วไวน์อีกใบบนหลังตู้ลิ้นชัก พระเจ้า เธอเป็นคนไม่มีระเบียบเอาเสียเลย แถมยังขี้เมาด้วย

เบ็กกี้นึกขึ้นมาได้ว่าน่าจะลองเป็นพวกภรรยาแสนดีดูบ้าง แบบที่เก็บบ้านสะอาดเรียบร้อย ทำอาหารเย็นไว้รอสามีกลับบ้าน ตอนที่ทั้งคู่พบกันนั้น เบ็กกี้แต่งตัวแบบแม่บ้านยุคทศวรรษ 1950 ของจริง ในงานปาร์ตี้ฮัลโลวีน ถือแก้วมาร์ตินี ผูกผ้ากันเปื้อน พร้อมทั้งถือรายการหน้าที่ที่ควรจะทำจากนิตยสารกู๊ดเฮาส์คีปปิงฉบับเก่า เบนหัวเราะ แล้วบอกว่าเธอดูไม่เหมือนผู้หญิงประเภทที่นั่งรอสามีหรอก เขาเลี้ยงเหล้าเธอ ทั้งสองคนลงเอยคืนวันฮัลโลวีนด้วยสองสามอย่างที่ไม่อยู่ในบทความของกู๊ดเฮาส์คีปปิง สิบสี่เดือนต่อมาทั้งคู่ก็แต่งงานกัน

เบ็กกี้เก็บแก้วและจานขึ้นมา เธอควรจะแวะห้องสตูดิโอศิลปะของเธอทางด้านหลังและคว้าจานชามจากที่นั่นมาด้วย ข้างคอมพิวเตอร์มีจานใบหนึ่งจากอาหารกลางวันของวันนี้แน่นอน และอาจจะมีแก้วไวน์จากเมื่อคืนด้วย เธอน่าจะแช่ทิ้งไว้ในอ่างล้างจานก่อนได้ 

ขณะที่เบ็กกี้เดินไปถึงประตูห้องสตูดิโอ เสียงเสียดสีแว่วๆ ของประตูเลื่อนโลหะก็ดังมาจากหน้าบ้าน เสียงกุญแจสอดเข้าไปในล็อก เสียงดังกริ๊ก จากนั้นบานพับก็ส่งเสียงดังเอี๊ยด พวกเขาพยายามจะซ่อมประตูบ้านั่นมาหลายปีแล้ว

ประตูหน้าบ้าน

“เฮ้ ที่รัก” เบ็กกี้ร้อง พลางวางจานชามทั้งหมดลงบนโต๊ะ “เดินทางเป็นยังไงบ้างคะ” เอาเถอะ เขาคงไม่สังเกตของในห้องสตูดิโอทันทีหรอก แล้วก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้จักเธอเสียหน่อย เธอเดินสามสี่ก้าวไปยังโถงทางเดิน จากนั้นก็ตัดสินใจว่าจะใช้บันไดด้านหลังเพราะใกล้กว่า และเธออาจจะเจอเขาในห้องครัว

อะไรอย่างหนึ่งสะกิดต่อมสงสัยเบ็กกี้ขณะที่เท้าเหยียบบันไดด้านหลังขั้นแรก มีบางอย่างขาดหายไป เสียงต่อเนื่องที่เธอได้ยินเป็นปกติเวลาที่เบนกลับมาบ้านขาดตอนไป เธอไม่ได้ยินเสียงบานพับดังเอี๊ยดอีกครั้ง หรือเสียงประตูปิด หรือเสียงกุญแจของเขากระทบพื้นโต๊ะที่โถงทางเดินด้านหน้า

“ที่รักคะ” 

เธอยกเท้าขึ้นจากขั้นบันไดและเดินกลับไปตามโถงทางเดิน จากบันไดขั้นบนสุด เธอสามารถมองเห็นประตูหน้าบ้านได้ ประตูเปิดค้างอยู่เกือบฟุต เธอได้กลิ่นสนามหญ้าด้านนอกและได้ยินเสียงการจราจรมุ่งหน้าไปยังถนนวงแหวน

เบนไม่ได้อยู่ที่นั่น เธอไม่เห็นกุญแจของเขาอยู่บนโต๊ะ กระเป๋าเอกสารของเขาไม่ได้ถูกดันเข้าไปใต้โต๊ะตรงที่เขามักจะโยนทิ้งไว้

เบ็กกี้ลงบันไดไปอีกสามสี่ขั้น เธอเพ่งมองข้ามราวบันไดไปเพื่อดูว่าเขาแอบหลบอยู่ในโถงทางเดินหรือเปล่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาแกล้งกระโดดออกมาให้เธอตกใจ

โถงทางเดินว่างเปล่า

เธอลงบันไดไปที่ประตูหน้าบ้าน มันเปิดอยู่อย่างง่ายๆ แบบเดียวกับเวลาที่เธอเดินออกไปหยิบจดหมายจากตู้จดหมาย หรือออกไปโวยวายใส่แพตที่บ้านอยู่เลยออกไปเพราะฝ่ายนั้นปล่อยให้สุนัขมาถ่ายบนสนามหน้าบ้าน

เธอเปิดประตูทิ้งไว้ตอนออกไปเอาจดหมายเมื่อกี้หรือเปล่านะ ลมพัดดันให้มันเปิดกว้างออก หรือว่าเธอจินตนาการเสียงกุญแจไปเอง เบนจะกลับถึงบ้านในอีกไม่ช้า เธออาจจะได้ยินเสียงบานพับดังเอี๊ยดแล้วเสริมแต่งอย่างอื่นเข้าไปเอง

เบ็กกี้ชะโงกออกไปนอกประตู อากาศเย็น บ่ายแก่ๆ อย่างนี้ด้านหน้าของบ้านจะอยู่ในร่ม

รถของเบนอยู่ที่ทางเข้าบ้านตรงที่เคยจอดเป็นประจำ นั่นคืออยู่ด้านหน้าประตูโรงรถที่อยู่ใกล้ๆ เธอเห็นประกายระยิบระยับจางๆ เพราะความร้อนบนกระโปรงหน้ารถ

เบ็กกี้ดันประตูปิด บานพับส่งเสียงดังเอี๊ยด สลักประตูเข้าที่ดังกริ๊ก

“คุณอยู่ข้างในหรือเปล่า ที่รัก”

พื้นบ้านสั่น บรรยากาศในบ้านเปลี่ยนไป มีคนอยู่ในห้องครัว เธอจำเสียงเอี๊ยดของกระเบื้องใกล้เครื่องล้างจานได้

“เบน” ชื่อเขาก้องอยู่ในบ้าน เธอก้าวยาวๆ สามสี่ก้าวไปด้านหลังบ้าน “คุณอยู่ไหนคะ”

ความเงียบทำให้เธอก้าวช้าลง จากนั้นก็ทำให้เธอหยุด

“ถ้าคิดว่านี่ตลกละก็ ไม่ตลกเลยนะ”

ไม่มีเสียงตอบ

เบ็กกี้ชั่งน้ำหนักทางเลือก ยังมีโอกาสที่นี่จะเป็นการล้อเล่น เรื่องเล่นสนุกที่เลยเถิด เบนจะกระโดดออกมาทำให้เธอกรีดร้อง เธอจะทุบเขา จากนั้นก็ต้อนรับเขากลับบ้าน

แต่เธอไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องล้อเล่น เธอรู้สึกว่าบ้านผิดปกติ รถของเบนจอดอยู่ที่ทางเข้าบ้านก็จริง แต่มีคนแปลกหน้าเคลื่อนไหวอยู่ในบ้าน 

ทั้งคู่มีปืนอยู่กระบอกหนึ่ง ปืนกล็อก 17 หรือ 19 อะไรสักอย่าง เบ็กกี้ไปเข้าคลาสยิงปืนสี่ครั้งและไปฝึกที่สนามยิงเป้าสามครั้ง เบนเคยบอกว่ามันเป็นปืนชั้นยอดระดับสายลับ ทั้งคู่อาจจะไม่จำเป็นต้องใช้ แต่มีไว้แล้วไม่ได้ใช้ก็ดีกว่าจำเป็นต้องใช้แล้วไม่…

ปืนกล็อกอยู่ในห้องนอนชั้นบน ในลิ้นชักโต๊ะข้างเตียง เธอสามารถก้าวยาวๆ หกก้าวแล้วไปถึงบันไดกลางบ้านไ

หรือเดินไปข้างหน้าสามก้าวและมองเข้าไปในห้องครัว

เธอเดินไปข้างหน้าสองก้าว

กระเป๋าเอกสารและกระเป๋าเดินทางของเบนวางอยู่ที่โถงทางเดิน เป็นกระเป๋าเก่าคร่ำคร่าใส่เสื้อผ้าไปออกกำลังที่เขาใช้มาหลายปีแล้ว เขายังใช้อยู่เพราะมันใส่เสื้อผ้าสำหรับสามสี่วันได้ แต่ขนาดพอเหมาะกับช่องเก็บของเหนือศีรษะบนเครื่องบิน ช่วยลดเวลาเดินทางไปได้ครึ่งชั่วโมงเพราะไม่ต้องไปรอกระเป๋าเดินทาง

“ที่รัก สาบานกับพระเจ้าเลย เดี๋ยวแม่จะโทร.เรียกตำรวจในสองนาที” เสียงเธอก้องอยู่ในบ้าน “นี่แม่งไม่ตลกเลยนะ”

เสียงเอี๊ยดยาวดังอยู่เหนือหัวเธอ เสียงไม้อัดเบียดกันตรงตำแหน่งห้องสตูดิโอ ใกล้กับประตู ทั้งคู่ไม่เคยเหยียบลงไปตรงนั้นมากว่าปีแล้วเพราะเสียงมันดังสนั่นมาก

ใครก็ตามที่อยู่ชั้นบนเหยียบลงไปตรงนั้น

พวกเขาอยู่ชั้นบน!

เบ็กกี้มองขึ้นไปที่เพดาน สามวินาทีผ่านไป มีเสียงไม้กระดานลั่นอีกครั้ง เธอแทบจะเห็นฝีเท้าผ่านปูนฉาบเพดานได้เลย มีคนกำลังเดินไปทั่วบ้าน เดินผ่านห้องครัว ขึ้นบันไดด้านหลังที่เธอเพิ่งจะวางเท้าลงไปเมื่อห้านาทีก่อน และเข้าไปที่โถงทางเดินชั้นบน พวกเขาอยู่ใกล้ห้องนอน

ใกล้ปืน

พระเจ้า ทำไมเธอถึงไม่คว้าปืนมาทันทีที่มีอะไรทะแม่งๆ นะ

แต่ทำไมกระเป๋าเสื้อผ้าของเบนถึงอยู่ในบ้าน ทำไมรถของเขาถึงอยู่ที่ทางเข้าบ้าน มีคนมาจับตัวเขาที่สนามบินหรือ เขาถูกขโมยจี้รถหรือ

มีเบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉินที่เบ็กกี้ควรจะโทร.ไปในกรณีที่เกิดเรื่องขึ้นกับเขา ถ้ามีคนพยายามจะเข้าถึงตัวเขาผ่านเธอ เขาเคยให้เบอร์ไว้ แต่เธอไม่เคยบันทึกไว้ในโทรศัพท์เลยด้วยซ้ำ

แน่ละ เบอร์นั้นอยู่ที่โต๊ะทำงานในสตูดิโอของเธอ

เบ็กกี้ก้าวเข้าไปในครัว คว้าโทรศัพท์มือถือจากเคาน์เตอร์และคว้ามีดจากแท่นเสียบอันใหญ่ มันเป็นของขวัญแต่งงานจากเพื่อนเก่าคนหนึ่งของเบนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ชุดมีดนั้นเยี่ยมมาก มีดหั่นเนื้อมีใบมีดยาวเกือบสิบสี่นิ้วและคมกริบ ด้ามก็จับถนัดมือมาก

พวกเขาหัวเราะกับความคิดที่ว่ามีดคือของขวัญแต่งงานที่เป็นลางร้าย 

เบ็กกี้เลื่อนนิ้วไปบนหน้าจอโทรศัพท์และแตะหมายเลข 911 เธอยั้งมือไว้ไม่แตะโทรออก ยังมีโอกาสที่นี่อาจจะเป็นตลกร้าย เป็นแผนโง่ๆ ที่จะทำให้มีเสียงกรีดร้อง เสียงหัวเราะ เซ็กส์แบบตื่นเต้น หรืออะไรสักอย่าง แต่เขาจะไม่ได้อะไรแบบนั้นสักแบบจากเธอแน่นอน

และเขาก็ไม่ใช่คนประเภทนั้นด้วย

เบ็กกี้เดินวนรอบห้องนั่งเล่น ห้องปูพรมหนา แทบจะเงียบสนิทเมื่อเดินผ่าน เพียงแค่เธอเดินทะลุตัวบ้าน ให้โอกาสสุดท้ายสำหรับเบนที่จะยอมรับว่าเขาเป็นคนงี่เง่า จากนั้นก็เดินออกประตูไป เธอจะโทร.เรียก 911 จากสนามหน้าบ้าน

เธอเดินผ่านห้องนั่งเล่นไปได้ครึ่งทางก็ได้ยินเสียงโลหะเลื่อนผ่านโลหะ เป็นเสียงเลื่อนไปมาเร็วๆ และหยุดฉับตอนสุดท้าย เธอได้ยินเสียงแบบนั้นเยอะมากที่สนามซ้อมยิงปืนและเป็นหนึ่งในคนที่ทำเสียงแบบนั้น

เธอกลืนน้ำลาย

เบ็กกี้ก้มลงมองโทรศัพท์ เธอจะสามารถเปล่งเสียงให้ดังพอที่จะพูดได้หรือเปล่า คนที่อยู่ชั้นบนจะรู้หรือเปล่าว่าเธออยู่ในบ้าน 911 จะทำอย่างไรเวลาที่มีคนโทร.ไปแล้วไม่พูดอะไร พวกเขาจะแกะรอยคนโทร.และส่งรถตำรวจไปหรือเปล่า หรือพวกเขาจะวางสายไปเฉยๆ

เธอต้องออกจากบ้านเดี๋ยวนี้ 

ประตูหน้าอยู่ใกล้กว่า แต่เล็งเป้าได้ง่าย—ไม่สิ เลือกคำไม่ดีเลย—เป็นแนวสายตาที่ชัดเจนสำหรับใครก็ตามที่อยู่โถงทางเดินชั้นบน เกือบจะมองตรงจากประตูห้องนอนไปยังประตูหน้าได้เลยทีเดียว

ประตูด้านหลังอยู่ไกลกว่า แต่มีที่หลบหลีกมากกว่า และคนคนนั้นต้องเข้ามาใกล้มากกว่าเพื่อจะเล็งปืน—เพื่อจะได้มองเห็นเธอ เบ็กกี้จะมีโอกาสโทรศัพท์ แต่สนามหลังบ้านเป็นกำแพงรั้วล้อมรอบสระน้ำที่ยังไม่ได้ใส่น้ำสำหรับหน้าร้อน เธอจะต้องวิ่งอ้อมกลับไปที่ประตูเล็ก และจะไม่มีใครเห็นเธอ อาจจะไม่ได้ยินเสียงเธอด้วยซ้ำ เพราะเสียงวุ่นวายจากบ้านหลังใหม่ที่กำลังสร้างอยู่อีกบล็อกถัดไป

มีเวลาและโอกาสมากมายสำหรับใครก็ตามที่จะคว้าตัวเธอและลากกลับเข้าไปในบ้าน ต้องเป็นประตูหน้าเท่านั้น

เบ็กกี้กำมีดแน่น และดูให้แน่ใจว่านิ้วยังอยู่ใกล้ปุ่มโทรออก จากนั้นก็ก้าวยาวๆ สามก้าวข้ามห้องนั่งเล่น พรมดูดซับเสียงฝีเท้าของเธอไว้ แต่เธอยังได้ยินเสียงเนื้อผ้าจากกางเกงยีนและรู้สึกว่าอากาศรอบตัวเคลื่อนไหว

เท้าของเบ็กกี้กระทบโถงทางเดิน และเธอได้ยินเสียงเอี๊ยดของบันไดขั้นที่สองจากด้านบน เบ็กกี้ตัวแข็ง พวกเขาอยู่บนบันได พวกเขาเห็นเธอกำลังจะออกไปที่ประตูหน้า

เธอน่าจะออกทางด้านหลัง เธอยังทำได้ แต่ต้องเร็ว พวกเขาจะได้ยินเธอแน่นอน

เบ็กกี้วิ่งไปที่ประตู เสียงเท้ากระแทกบนขั้นบันไดด้านหลัง เธอเอื้อมมือไปที่ลูกบิดประตู

“หยุด!” 

เบ็กกี้หันกลับไปและชูมีดขึ้น “อีตางั่งเอ๊ย” เธอสูดหายใจดังเฮือก

เบนยืนอยู่บนบันไดขั้นที่สี่จากข้างล่าง เท้าข้างหนึ่งยังค้างอยู่บนขั้นที่ห้า เขาสวมสูทสีเทาเข้มกับเสื้อเชิ้ตสีแดงเข้มที่ใส่แล้วดูดีมาก ปืนกล็อกอยู่ในมือ ลำกล้องชี้ตรงมาทางเธอ เขาถือโทรศัพท์อยู่ในมืออีกข้าง

“วางมีดลง”

ไหล่ของเบ็กกี้คลายลง เธอโยนมีดไปบนโต๊ะ มันเลื่อนไปหยุดอยู่ตรงที่เขามักจะวางกุญแจไว้ “คุณทำฉันกลัวจนแทบฉี่ราด บ้าชะมัด ฉันนึกว่ามีโจรเข้าบ้านซะอีก”

เขาก้าวลงมาอยู่ที่บันไดขั้นถัดมา ปืนยกสูงขึ้น เบ็กกี้เห็นปากกระบอกปืนชัดพอที่จะรู้ว่ามันเล็งมาที่เธอ

“ผมโทร.หาตำรวจแล้ว” เขาขู่ “พวกเขาอยู่ในสายตอนนี้”

เบ็กกี้เหลือบมองผ่านเขาขึ้นไปที่ชั้นบน จากนั้นสายตาก็กลับมาที่ปืน ทั้งคู่กำลังเล่นไล่จับกับผู้บุกรุกหรือ “เอาละ” เธอพูด “ใจเย็นแล้วเล็งปืนไปทางอื่นก่อน”

เบนจ้องมองมาที่เธอและลงบันไดมาอีกสองก้าว ปืนไม่ได้แกว่งเลย ดวงตาเบิกกว้างของเขาเหลือบไปที่มีดแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองผ่านเธอไปที่ประตูหน้าและมองเลยเข้าไปในห้องนั่งเล่น “เธออยู่ไหน”

“ที่รัก” เบ็กกี้พูด ตามองอยู่ที่ปืน “คุณกำลังทำให้ฉันกลัวแทบบ้ากับ—” 

“เธออยู่ไหน” เขาตะโกน เสียงก้องอยู่ในโถงทางเดิน กระจกที่ประตูสั่นอยู่ข้างหลังเธอ

เบ็กกี้กรีดร้อง ความคิดสะดุดไปชั่วขณะ “เธอเหรอ เธอไหนกันเล่า”

เบนก้าวออกมาจากบันไดและถลึงตามองเธอ เขายกปืนขึ้น ปากกระบอกปืนเป็นสี่เหลี่ยมสีดำที่มีรูอยู่ข้างใน เขากำลังเล็งปืนมาที่ระหว่างดวงตาของเธอ “คุณทำอะไรกับเธอ คุณต้องการอะไรจากเรา” เขาก้าวเข้ามาหาเธออีกก้าว จากนั้นก็อีกก้าว

เบ็กกี้บอกไม่ได้ว่าเขากำลังโกรธหรือเสียใจ รูสีดำดึงสายตาเธอไว้จากใบหน้าของเขา มันอยู่ห่างไปแค่ไม่กี่ฟุต เธอเห็นมันสั่นและขยับเล็กน้อยขณะที่เขากำแน่นขึ้น “ที่รัก” เธออ้อนวอน “คุณพูดเรื่อง—”

“คุณเป็นใคร” เขาตะโกน “เมียผมอยู่ไหนวะ” 

2

“ไม่เอาน่า ทุกคน” ลีแลนด์ ‘ไมค์’ เอริคสันพูด เขากวาดตาไปรอบห้องเรียน ก่อนจะหยุดมองแต่ละใบหน้าและสบตาแต่ละคู่อยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยแกล้งทำเป็นว่าพวกเธอควบคุมฮอร์โมนของตัวเองได้สักห้านาทีจะได้มั้ยฮึ พวกเธอยังมีเวลาใช้ชีวิตวัยรุ่นตลอดหน้าร้อนเลยนะ”

มีวิธีมากมายที่จะดึงความสนใจจากพวกเขา แต่ก็มีไม่มากพอที่จะยึดเด็กๆ ไว้ได้จากวันปิดภาคเรียนที่กำลังใกล้เข้ามา เขาจ้องมองพวกเด็กๆ ด้วยสายตาพิฆาต ซึ่งเขาเรียนรู้มาว่าเป็นหนึ่งในกลวิธีของการเป็นครูที่ดี แต่อย่าใช้สายตาพิฆาตบ่อยเกินไป อย่างมากที่สุดก็สองสัปดาห์ครั้ง 

ต้องยอมรับว่าเขามีหน้าตาที่เหมาะสำหรับการใช้สายตาพิฆาต ผมสีดำ ตาสีดำ ใบหน้ายาว คางแหลม ทั้งหมดอยู่บนรูปร่างที่มองในแง่ดีที่สุดได้ว่าผอมแต่แข็งแรง ปกติแล้วคือผอมมีแต่กระดูก ปีแรกในฐานะครูโรงเรียนมัธยมปลาย นักเรียนคนหนึ่งบอกว่าเขาดูเหมือนเซเวอร์รัส สเนป ช่วงเรียนมหาวิทยาลัย

สายตาพิฆาตทำให้นักเรียนส่วนใหญ่สงบลง แต่ไทเลอร์ยังคงกระซิบกระซาบกับเอมิลี นักเรียนหญิงดีเด่นดวงตาสีเขียวที่ไทเลอร์คอยตามจีบอย่างงุ่นง่านมาตั้งแต่ช่วงวันอีสเตอร์ ไมค์ปล่อยให้พวกเขาคุยกัน เด็กคนนั้นมีเวลาเหลืออีกสามนาทีครึ่งในปีการศึกษานี้เพื่อจะทำคะแนนพิชิตใจเธอ

“ขอหนึ่งอย่างที่พวกเธอได้เรียนรู้ในปีนี้” เขามองไปตามใบหน้าเยาว์วัย “โอลิเวีย”

เธอรัวนิ้วผอมๆ บนหนังสือเรียน “‘เดอะฟอลออฟเดอะเฮาส์ออฟอัชเชอร์’ เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้ชายที่กลายเป็นบ้าเพราะน้องสาวฝาแฝดของเขาตายค่ะ” 

“ตายเหรอ”

“คือเขาคิดว่าเธอตาย แต่จริงๆ แล้วเขาฝังเธอทั้งเป็นค่ะ”

“ดี” เขาพูด “หมายถึงดีที่ตอบถูกนะ ไม่ได้หมายถึงให้ไปฝังพี่น้องตัวเอง”

นักเรียนครึ่งหนึ่งหัวเราะหึๆ เด็กผู้ชายคนหนึ่งกระแอมขึ้น “ครูเอริคสันครับ พวกเราไปได้หรือยัง”

“เรากำลังทดลองทำอะไรที่แปลกออกไปในวันสุดท้าย แซ็ค เดี๋ยวพวกเขาจะกดกริ่งตอนจบคาบเรียนอยู่แล้ว เธอได้เรียนรู้อะไรบ้าง”

“ผมเกลียดวิชาภาษาอังกฤษฮะ”
“เยี่ยม ครูจะบอกครูเดอเนย์ให้รอเธอไปเรียนวิชาภาษาฝรั่งเศสปีหน้า อีธาน” 

อีธานเป็นเด็กร่างสูง เขาสูงกว่าไมค์ซึ่งสูงหกฟุตด้วยซ้ำ เคยเป็นพวกหมกมุ่นกับคอมพิวเตอร์จนกระทั่งเขาทำลายสถิติกรีฑาสามรายการของโรงเรียนขณะอยู่เกรดเก้า ตอนนี้ในห้องพักครูมีการคุยกันว่าจะชักจูงให้เขาเข้าทีมบาสเก็ตบอลปีหน้า “ธอโรไม่ได้ออกไปอยู่คนเดียวในป่าฮะ”

“เจาะจงกว่านั้นหน่อย” ไมค์พูด “เธอกำลังพูดถึงหมาของเขาหรือ”

“เปล่าฮะ ผมหมายความว่าเขาไม่ได้ไปอยู่ห่างไกลที่ไหนก็ไม่รู้ เขาอยู่ห่างเมืองไปสักหนึ่งไมล์แค่นั้นเอง”

“ดี มีเวลาพอได้อีกสองคน แฮนนาห์” 

เชียร์ลีดเดอร์ผมสีน้ำตาลเข้มเงยหน้าขึ้นจากข้อความในโทรศัพท์ “เอิ่มมมม… ‘เดอะเฮาส์ออฟอัชเชอร์’ เป็นเรื่องของผู้ชายที่—”

“เธอเพิ่งรู้เรื่องนั้นเมื่อหนึ่งนาทีที่แล้ว บอกเรื่องอื่นที่เธอเรียนซิ”

“เอ้อออออ…” เธอเหลือบมองนักเรียนคนอื่นๆ รอบตัวแล้วก้มมองโต๊ะ “โอ เดี๋ยวก่อนนะคะ การโดนทาน้ำมันดินจนทั่วตัวแล้วเอาขนนกมาติดมันเจ็บมาก และมันฆ่าเราได้ค่ะ”

เขาพยักหน้า “เธอเอามาจากเรื่องไหน”

“เรื่องที่ฮอว์ธอร์นเขียน ผู้พันมอลลีอะไรสักอย่างนี่แหละค่ะ”

“‘มายคินส์แมน ผู้พันมอลินู’” เขาผงกศีรษะให้เธอ “ดีมาก แฮนนาห์ ครูนึกว่าวันนั้นเธอไม่ตั้งใจเรียนซะอีก อีกหนึ่งคน จัสติน”

จัสตินเสยผมยุ่งๆ ไปข้างหลัง “ครูเอริคสันมีความจำเป็นเหมือนรูปภาพได้ของแท้แน่นอนครับ”

“ยอดเยี่ยมมาก เธอเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับวรรณกรรมอเมริกันยุคแรกบ้าง”

จากหางตาของเขา ประตูเหวี่ยงเปิดออกให้ผู้ชายหัวล้านสวมสูทสีเทาเข้ามาในห้อง ไมค์ปล่อยให้สายตาเขาเลื่อนไปทางซ้ายนานพอที่จะเห็นเร็จจี้ แม็กนัส เร็จจี้ยิ้มและเอนตัวพิงผนังข้างกระดานดำริมห้อง ไมค์ดึงความสนใจกลับมาที่นักเรียนของเขา

“ผม…เอ้ออออ…”

“ไม่ได้กดดันนะ จัสติน” ไมค์พูด “แต่จะไม่มีใครได้ออกจากห้องนี้จนกว่าเธอจะตอบ”

เสียงโอดโอยดังไปทั่วห้องขณะที่เด็กชายใช้สองมือขยุ้มผม

ไมค์ดึงปากกาที่เหน็บหูไว้ออกมา เขาโยนมันไปข้างหลังโดยไม่หันไปมองและทิ้งปากกาจากระยะเก้านิ้วลงไปในถ้วยกาแฟเนิร์ดเฮิร์ดใบใหญ่ยักษ์ที่วางอยู่ริมโต๊ะ ปากกากระทบด้านข้างแก้วเสียงดัง “เร็วเข้า” เขาพูด “อีกสามสิบวินาทีแล้วเราทุกคนก็จะได้กลับบ้านไปหยุดหน้าร้อนกัน หนึ่งเรื่อง แค่บอกครูมาหนึ่งเรื่องที่เธอได้เรียนมาในปีนี้”

จัสตินเงยหน้าขึ้น “อิคาบ็อด เครน ไม่ใช่วีรบุรุษที่แท้จริงในเรื่อง ‘เดอะเลเจนด์ออฟสลีปปี้ฮอลโลว์’” 

“อธิบายมาซิ”

“เขาเป็น แบบว่า เป็นคนอังกฤษ ครูบอกพวกเราแบบนั้นตอนที่ครูพูดว่าเราจะแค่ดูทีวีเพื่อเรียนรู้เรื่องราวสนุกๆไปเฉยๆไม่ได้ ครูบอกว่าบางครั้งคนเลวก็อยู่ตรงหน้าเรา”

ไมค์ยิ้ม เสียงกริ่งดังก้อง นักเรียนถลันลุกขึ้นพร้อมกับกระเป๋าสะพายข้างและเป้ที่เกือบจะว่างเปล่า “ขอให้มีความสุขกับหน้าร้อนนะ ทุกคน” เขาพูด “อีกสามเดือนเจอกัน และสำหรับบางคน อีกสองสัปดาห์เจอกันในภาคฤดูร้อน” เขาชี้นิ้ว “จัสติน เอาไปสองคะแนน”

ใบหน้าของวัยรุ่นผู้นั้นพยายามจะหาจุดกึ่งกลางระหว่างหน้าแดงกับแสยะยิ้ม “ขอบคุณครับ ครูเอริคสัน”

“ขอบใจ จัสติน ยินดีที่ได้สอนเธอ ทีนี้ก็ไปได้แล้ว”

ร่างสุดท้ายถลันออกไปจากห้องเรียน แล้วไมค์ก็หันเหความสนใจไปหาเพื่อน เร็จจี้ขยับไปอยู่หลังห้อง เขาอยู่ในขาเหวี่ยงลงของความพยายามลดน้ำหนักครั้งล่าสุด เขาคาดเข็มขัดเส้นเก่าและสวมเสื้อเชิ้ตหลวมๆเพื่อพรางน้ำหนักหลายปอนด์ที่เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เขาสวมเสื้อแจ๊คเก็ตสีเข้มทับเสื้อเชิ้ต นั่นความว่าการมาหาครั้งนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องงานไม่เรื่องใดก็ทางหนึ่ง เร็จจี้พูดเรื่องงานไม่ได้หรอกถ้าไม่สวมเสื้อคลุมอะไรสักอย่าง

ไมค์กระแอม “เป็นยังไงบ้าง”

“ก็ไม่เลว ไม่เลวเลย” แสงแดดอ่อนๆ จากหน้าต่างส่องลงมาบนหนังศีรษะเผยผิวสีดำของเร็จจี้ เขาโกนหัวตั้งแต่ผมของเขาเริ่มบางลงตอนเรียนมหาวิทยาลัย นานก่อนที่หัวล้านจะเป็นที่นิยมเสียอีก “แล้วนายเป็นยังไงบ้าง”

“ก็ดี”

“ที่นี่ไม่กดดันเกินไปนะ”

“ไม่มีอะไรที่ฉันรับมือไม่ได้”

“ดี”

“นายรู้ใช่มั้ยว่าการเข้ามาในพื้นที่โรงเรียนเป็นการบุกรุก”

“นายพร่ำบอกนั้นอยู่เรื่อย” เร็จจี้ไล่นิ้วไปตามตั้งหนังสือรวมผลงานวรรณกรรมของสำนักพิมพ์นอร์ตัน “หลังจากบริจาคเงินสร้างห้องแล็บคอมพิวเตอร์สองห้องแล้ว ฉันคิดว่าฉันถือเป็นเจ้าหน้าที่ได้แล้วนะ”

“นั่นเรียกว่าอาจารย์ แล้ววิธีนั้นก็ไม่ได้ผลหรอก”

“จริงเหรอ” 

“ในเขตเรามีกฎตายตัวว่าต้องบริจาคห้องแล็บคอมพิวเตอร์สามห้อง” ไมค์พูดพลางปิดแล็ปท็อป “อีกอย่าง ฉันค่อนข้างแน่ใจว่าดาร์ปาต่างหากที่บริจาคห้องแล็บ ไม่ใช่นาย”

“เท่าที่คนส่วนใหญ่แถวนี้รู้ ฉันนี่แหละคือดาร์ปา”

“นายฟังดูเท่มากเลยเวลาพูดแบบนั้น”

เร็จจี้ส่ายหน้า จากนั้นก็ก้าวเข้ามาเอาแขนรัดรอบตัวไมค์ “ไอ้งั่ง”

ไมค์กอดตอบแน่น “ไอ้อ่อน”

“ช่วงนี้เป็นไงบ้าง”

ไมค์หยิบแปรงลบกระดานขึ้นมาและลบกระดานดำไปมาตามแนวขวาง การสอบย่อยครั้งสุดท้ายของปีจางลงเป็นแนวเส้น จากนั้นก็กลายเป็นฝุ่น “ก็” เขาพูด “คิดว่าฉันเกลี้ยกล่อมเด็กสามคนให้เรียนมัธยมปลายต่ออีกปีก่อนจะเลิกเรียนได้ คุยกับอีกห้าคนให้สอบเทียบหลักสูตรมหาวิทยาลัย แล้วก็นะ ฉันเป็นตัวเต็งที่จะได้กำกับละครเพลงประจำฤดูใบไม้ร่วงของชมรมละคร”

“นายจะทำเรื่องอะไร”

“ฉันกำลังหวังว่าจะเป็นเดอะคิงแอนด์ไอ แต่อาจจะเป็นลิตเติ้ลแมรี่ซันชายน์ก็ได้”

“เรื่องที่เด็กผู้หญิงนั่งรถออกเดินทางไปกับครอบครัวน่ะเหรอ”

“คนละเรื่องกันเลย”

เร็จจี้ถอนหายใจและส่ายหัว “พระเจ้า โคตรเสียของ”

“เฮ้ ก็เรามีงบอยู่แค่นั้น”

“ฉันไม่ได้พูดเรื่องละคร”

ไมค์โยนแปรงลบกระดานกลับลงไปบนราง “งั้นเรื่องอะไรละ”

“นายก็รู้ว่าเรื่องอะไร”

ไมค์เอาแล็ปท็อปใส่กระเป๋า “ถ้ามันจะทำให้นายรู้สึกดีขึ้นนะ เราจะแกล้งทำเป็นว่าเราไม่ได้พูดเรื่องนี้มาเป็นสิบครั้งแล้ว แต่นายบอกฉันอีกครั้งก็ได้” คู่มือครูสองเล่มที่เขาไม่เคยเปิดเลยในแปดปีตามแล็ปท็อปเข้าไปในกระเป๋าเอกสาร

“รู้มั้ยว่าตอนนี้คนฉลาดที่สุดสามคนในอเมริกากำลังทำอะไรอยู่”

“หมายถึงในตอนนี้เลยน่ะนะ” 

“คนหนึ่งเริ่มทำงานกับนาซาตอนอายุสิบหก” เร็จจี้พูด “คนหนึ่งเป็นพวกเรียนด้วยตัวเองและใช้เวลาว่างแก้ปัญหาพีกับเอ็นพี และคนสุดท้ายกำลังหลีกหนีจากศักยภาพของตัวเองด้วยการสอนภาษาอังกฤษชั้นมัธยมในเมืองหลังเขาเล็กๆ ในรัฐเมน” เขาหยิบที่เย็บกระดาษสีแดงสดยี่ห้อสวิงไลน์ขึ้นมาจากโต๊ะและโยนไปมาในมือสองข้าง “เราทั้งสองคนรู้ว่านี่ไม่ใช่ตัวตนของนายเลย นายไปได้ไกลกว่านี้ นายทำอะไรได้มากกว่านี้เยอะ”

“มีปัญหาพื้นฐานสามอย่างในคำกล่าวของนาย” ไมค์บอก

“ได้โปรดให้ความกระจ่างแก่ฉันด้วยเถิด”

ไมค์ชูนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้ว “ข้างนอกนั่นอาจมีคนฉลาดกว่าฉันมากมายที่ยังไม่เคยทดสอบไอคิวหรือเผยผลทดสอบให้สาธารณชนรู้ แล้วยังมีคนอีกเยอะที่โอ้อวดผลการทดสอบเกินความจริงหรือไม่ก็ทำเป็นได้คะแนนน้อย นายกำลังสรุปโดยมีพื้นฐานจากกลุ่มข้อมูลที่จำกัดและออกจะบิดเบี้ยว”

“ก็จริงอยู่ ประเด็นต่อไป”

นิ้วที่สอง “ช่วงของผลการทดสอบไอคิวที่เป็นไปได้นั้นกว้างมาก ขึ้นอยู่กับการทดสอบและหัวข้อ นายกำลังสันนิษฐานว่าฉันมีไอคิวสูงเพราะฉันทำได้ดีในการทดสอบครั้งเดียวเมื่อสิบเก้าปีก่อน ฉันอาจจะเป็นคนโง่ที่สุดในโลกที่บังเอิญทำการทดสอบได้ดีก็ได้”

“ฉันรู้จักนายมานานพอ”

นิ้วที่สาม ไมค์ผายมือไปทางห้องเรียน “ฉันไม่คิดว่าการเป็นครูมัธยมเป็นการเสียเวลาหรือศักยภาพของฉันไปเปล่าๆเลย”

เร็จจี้ส่ายหัว “พูดกันตรงๆ ดีกว่า นายกำลังซ่อนตัวอยู่ที่นี่

นิ้วชี้กับนิ้วนางงอลง เหลือแต่นิ้วกลาง “ไอ้ตูด”

“ไม่ต้องมาเข้าใกล้ตูดฉัน นายมันไม่ตรงสเปกฉัน” 

“ฉันว่าสมัยมหาวิทยาลัยก็พิสูจน์แล้วนะว่าสเปกนายขอให้เป็น ‘เพศหญิง’ ก็เอาหมด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนเล็งตูดนายอยู่ดี”

“ไอ้ตูด”

“เห็นมั้ย”

“ไอ้เวร กินมื้อเย็นกันมั้ย”

“ยังไม่สี่โมงเลย”

“ฉันยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่มื้อเช้า”

“เพิ่งหมดวันสุดท้ายของภาคเรียน มันก็คล้ายๆ วันหยุดนั่นแหละ พวกครูกำลังดื่มกันในห้องพักครู แล้วจะไปดื่มกันต่อที่หาดโอกันควิท”

“นายมีเพื่อนเก่ามาเยี่ยม พวกเขาต้องเข้าใจอยู่แล้ว โดยเฉพาะเพื่อนเก่าที่บริจาคห้องแล็บคอมพิวเตอร์สองห้องให้โรงเรียน พวกเขาอาจจะบังคับให้นายออกไปกับฉันด้วยซ้ำ”

“นายนี่ทำตัวทุเรศจัง”

“ใช่ มันอยู่ในคำบรรยายลักษณะงานของฉัน ย่อหน้าที่หก ข้อย่อยที่สอง”

ไมค์ถอนหายใจและกวาดข้าวของสองสามอย่างสุดท้ายเก็บลงในโต๊ะ ดูสะอาดพอแล้ว “ใครเป็นคนเลี้ยง”

“ฉันเอง” เร็จจี้พูด “นี่เป็นการมาพูดคุยเรื่องงาน”

“อ๊ะ แสดงว่าจ่ายโดยผู้เสียภาษีทั้งหลาย” ไมค์พูดพลางพยักหน้า “ก็คือฉันจ่ายเองอยู่ดีนั่นแหลพ”

“หุบปาก”

ไมค์หยิบกระเป๋าเอกสารขึ้นมา “ให้ฉันไปลาบางคนก่อน อาจจะกรึ๊บเบียร์สักแก้ว แล้วฉันถึงจะออกจากที่นี่ได้”

“บอกหน่อยว่ามีที่ไหนใกล้ๆ ที่มีสเต๊กดีๆ บ้าง”

“คำว่าดีขึ้นอยู่กับคนกิน เงินของกระทรวงกลาโหมคงทำให้นายเสียนิสัยไปแล้ว”

“ฉันด่านายว่าเฮงซวยไปหรือยัง”

ไมค์สั่นหัว “ยัง”

“เฮงซวย”

“จะมาเริ่มประจบกันก็สายเกินไปแล้วละ”

TBC