บทที่ศูนย์
เขาวิ่ง
เขาวิ่งสุดฝีเท้า เหมือนนรกกำลังไล่ล่า เหมือนชีวิตของเขาขึ้นอยู่กับการวิ่งนี้
เขาแน่ใจว่าเป็นอย่างนั้น
ความจริงก็คือ เขาตายไปแล้ว เขาเห็นคนเสียเลือดจนตายในห้องผ่าตัดมามากพอจนรู้ว่าชีพจรกำลังฉีดเลือดให้พุ่งออกมาระหว่างซี่โครงของเขา มีดนั้นทำงานได้แม่นยำเกือบจะเท่ามีดผ่าตัดเลยทีเดียว
แต่เขาต้องไม่คิดถึงตัวเอง ไม่ใช่ตอนนี้ เสี่ยงเกินไป เขาต้องวิ่งต่อไปเรื่อยๆ
ถ้าพวกเดอะแฟมิลีจับเขาได้ ทุกคนจะต้องตาย
บทที่หนึ่ง
เนท ทักเกอร์รู้จักอพาร์ตเมนต์นั้นโดยบังเอิญแท้ๆ ก็แบบเดียวกับที่ผู้คนมักจะได้รู้เรื่องสิ่งต่างๆ ที่เปลี่ยนชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาลนั่นแหละ
เริ่มจากปาร์ตี้คืนวันพฤหัสที่เขาไม่อยากไป “ปาร์ตี้” เป็นคำที่ใหญ่โตไปหน่อยแต่จะเรียกว่า “ดื่มสักสองสามแก้วหลังเลิกงาน” ก็ดูเหมือนจะเล็กน้อยเกินไป มีหกคนที่เขารู้จักกับอีกสิบสองคนที่ควรจะรู้จักไว้ ตอนที่มีการแนะนำคนเหล่านั้นเนทไม่ได้ใส่ใจเท่าไร และไม่มีใครคนไหนดูน่าสนใจพอที่จะจำชื่อไว้ หลังจากนั้นพวกเขานั่งรอบโต๊ะที่เลื่อนมาต่อกัน ร่วมกันกินอาหารที่บางคนอาจจะแย้งว่าไม่ได้แตะต้องเลยสักนิด พลางจิบเครื่องดื่มราคาแพงเกินเหตุ และคุยโวว่าเคยดื่มครั้งแรกที่ภัตตาคารมีระดับกว่านี้
เนทตระหนักมาได้สักพักแล้วว่าการสังสรรค์ครั้งนี้ไม่มีใครพูดคุยกันหรอก แต่ละคนผลัดกันพูดใส่คนอื่น เขาไม่เคยรู้สึกว่ามีใครกำลังฟังอยู่ และได้แต่หวังว่าเพื่อนร่วมงานจะเลิกชวนเขามาเสียที
ผู้ชายคนหนึ่งที่เนทจำได้ว่าเป็นนักข่าวที่มีแฟนสาวผมแดงสุดฮ็อตกำลังพูดใส่เขาอยู่ เขาได้รับการแนะนำให้รู้จักผู้ชายคนนี้ในการพบปะทำนองนี้เมื่อสักเดือนหรือสองเดือนที่แล้ว ก็เหมือนทุกคนที่โต๊ะนั่นแหละ นักข่าวคนนี้คิดว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ถึงแม้ว่าเท่าที่เนทรู้งานของผู้ชายคนนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการสร้างหนังเลยสักนิด ตอนนั้นนักข่าวกำลังคร่ำครวญเรื่องโดนยกเลิกงานสัมภาษณ์อยู่ นักเขียนบทที่เขาจะสัมภาษณ์เกิดต้องแก้ไขบทในนาทีสุดท้ายตามที่ผู้อำนวยการสร้างคนไหนสักคนสั่ง เนทสงสัยว่าผู้ชายคนนี้จะเอาเรื่องที่ว่านี่มาใส่ในบทความของตวเองหรือเปล่า การแก้บทแบบโง่เง่าเพื่อให้ฉากสำคัญถูกใจผู้บริหารแสนเอาแต่ใจ
นักข่าวหยุดเว้นระยะจากการพูดฝ่ายเดียวอย่างยืดยาว และเนทเพิ่งรู้ตัวว่าชายผู้นี้กำลังรอการโต้ตอบ เนทกลบเกลื่อนความเงียบนั้นด้วยการไอและดื่มเบียร์อึกใหญ่ “แย่นะ” เนทพูด “ยกเลิกไปเลยหรือว่าเขาจัดเวลาให้ใหม่ได้”
นักข่าวยักไหล่ “ก็อาจจะได้แต่สัปดาห์นี้ตารางผมแน่นเอี้ยดเลยส่วนเขาก็วุ่นวายและเครียดจนอยากจะทึ้งหัวตัวเอง” เขาจิบเครื่องดื่มแล้วพูดต่อ “เอาเถอะคุยเรื่องผมพอแล้วคุณเป็นยังไงบ้างล่ะผมไม่เห็นคุณมาร่วมวงกันเป็นชาติ”
เนทจำได้ว่าโบกมือให้นักข่าวคนนี้ในงานกึ่งปาร์ตี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และถูกเชิดหน้าใส่เขายักไหล่บ้าง “ก็ไม่มีอะไรมาก” เขาพูด
“คุณทำงานเขียนบทหรืออะไรทำนองนั้นหรือเปล่านะ”
เนทสั่นหัว “เปล่าไม่ใช่ผมหรอกผมไม่ถนัดงานนั้นเลย”
“งั้นพักนี้คุณทำอะไรบ้างล่ะ”
เน็ทดื่มเบียร์อีกอึกใหญ่ “ก็ทำงานพยายามหาที่อยู่ใหม่”
นักข่าวเลิกคิ้ว “เกิดอะไรขึ้น”
“พวกคนที่อยู่กับผมน่ะพวกเขาตัดสินใจว่าจะแยกย้ายไปใช้ชีวิตของตัวเอง” เนทพูด “คนหนึ่งจะย้ายกลับไปซานฟรานซิสโกอีกคนกำลังจะแต่งงาน” เขายักไหล่ “เรามีอพาร์ตเมนต์อยู่แล้วแต่ผมจ่ายเองคนเดียวไม่ไหว”
“ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน”
“ซิลเวอร์เลก”
“คุณหาที่อยู่แบบไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า”
เนทไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง นี่เป็นสิ่งที่คนที่ไม่ใช่เพื่อนร่วมห้องของเขาถามมากที่สุดเกี่ยวกับการหาที่อยู่ “ผมอยากอยู่ใกล้ฮอลลีวู้ด” เขาพูด “ไม่ต้องกว้างมากกำลังหวังว่าจะเจอห้องสตูดิโอสักเดือนละแปดร้อย”
นักข่าวพยักหน้าและจิบเครื่องดื่มอีกที “ผมรู้จักอยู่ที่หนึ่ง”
“จริงเหรอ”
อีกฝ่ายพยักหน้า “เพื่อนผมแนะนำให้ตอนที่ผมย้ายจากซานดิเอโกมาที่นีใหม่ๆเป็นตึกเก่าระหว่างย่านเกาหลีกับลอสเฟลิสแถวๆทางหลวงสาย 101 น่ะ”
เนทพยักหน้า “ผมรู้ว่าอยู่ตรงไหน ใกล้ที่ทำงานมากกว่าที่ผมอยู่ตอนนี้อีก”
นักข่าวพยักหน้าอีก “ผมอยู่ที่นั่นแค่สามสี่เดือน แต่ค่าเช่าถูก วิวก็แจ่มมาก”
“ถูกแค่ไหน”
นักข่าวเหลือบมองไปรอบตัว “รู้กันแค่คุณกับผมนะ” เขาพูด “ผมจ่ายห้าร้อยห้าสิบ”
เนทสำลักเบียร์ “เดือนละห้าร้อยห้าสิบเนี่ยนะ แค่นั้นเองเหรอ”
นักข่าวพยักหน้า
“ห้าร้อยห้าสิบนะ”
“ใช่ รวมสาธารณูปโภคแล้วด้วย”
“อย่ามาหลอกผมหน่อยเลย”
“เปล่า”
“แล้วทำไมคุณถึงย้ายออกล่ะ”
นักข่าวยิ้มและโบกแก้วของเขาไปทางแฟนสาวผมแดงสุดฮ๊อต เธอนั่งฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ ห่างไปสามสี่ที่ กำลังถูกผู้หญิงผมสีดำสนิทที่สวมเสื้อผ้าเข้ากับสีผมพูดใส่ “เราตัดสินใจย้ายมาอยู่ด้วยกัน ก็เลยหาที่อยู่ใหม่ให้ใหญ่ขึ้น แล้วก็…”
เนทเลิกคิ้วข้างหนึ่ง “แล้วก็อะไร”
“แล้วมันก็รู้สึกแปลกๆ”
“แถวนั้นหรือตัวตึก”
“ตัวตึก อย่าเข้าใจผิดนะ ที่นั่นดีมาก แค่มันไม่เหมาะกับผมแค่นั้น” เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาและปัดนิ้วไปบนหน้าจอสีสันสดใส “ผมว่าผมยังมีเบอร์บริษัทที่บริหารตึกอยู่นะ ถ้าคุณอยากได้
บทที่สอง
ตัวอาคารเป็นรูปทรงลูกบาศก์ก่อด้วยอิฐสีแดงและปูนสีเทา เป็นอาคารแบบที่ใครก็นึกภาพได้ว่ามีอยู่ทั่วไปในนิวยอร์กหรือซานฟรานซิสโก มีคอนกรีตสี่เหลี่ยมผืนผ้าสองแผ่นอยู่ในผนังอิฐที่ชั้นสาม แต่ละแผ่นเป็นรูปตราประจำตระกูลเก่าแก่สึกกร่อน เหนือประตูบานใหญ่หน้าตึกมีทางหนีไฟซิกแซกขึ้นไปตรงกลางด้านหน้าอาคาร เนทรู้ว่าลอสแอนเจลิสมีตึกเก่าแบบนี้มากมาย ความจริงแล้วเขาเองก็ทำงานในพวกตึกเก่าเหล่านั้นนั่นแหละ
ตัวอาคารสร้างบนฐานสูงซึ่งอยู่บนเนินที่สูงอยู่แล้ว มีบันไดสองช่วงขึ้นไปที่ประตู เนทนึกภาพความอิรุงตุงนังในการยกเฟอร์นิเจอร์ขึ้นบันไดได้ทันที ต้นไม้สองต้นขนาบสองข้างของบันไดช่วยบังอพาร์ตเมนต์ชั้นล่างบางห้อง แต่มันเป็นต้นไม้ที่เพิ่มเข้ามาทีหลัง ไม่ได้มีใบดกหนาและแข็งแรงเหมือนต้นที่แผ่กว้างอยู่ที่ประตูรั้วซึ่งทำด้วยเหล็กดัด
ผู้หญิงเอเชียร่างเล็กยืนอยู่ด้านในประตูรั้ว แขนเธอมีไอแพดหนีบไว้เธอโบกมือให้เขา “เนทใช่มั้ยคะ?”
เขาพยักหน้า “โทนีสินะครับ?”
“ใช่ค่ะดีใจที่ได้เจอคุณ” เธอเปิดประตูรั้วและจับมือทักทายเขา
โทนีเป็นหนึ่งในพวกผู้หญิงแบบที่ทายอายุไม่ถูก เธออาจจะอายุเท่าไรก็ได้ตั้งแต่สิบแปดถึงสามสิบห้ากระโปรงของเธออวดเรียวขามากพอที่จะทำให้เนทคิดว่าเธออายุน้อย แต่ท่าทางและจังหวะจะโคนในน้ำเสียงทำให้เขาคิดว่าเธออายุมากกว่านั้น
เธอยิ้มขณะที่เดินนำเนทขึ้นบันได ช่างเป็นยิ้มที่น่าอัศจรรย์ ถ้าเป็นการเสแสร้งเธอก็ต้องฝึกทุกวัน “ตึกนี้เยี่ยมมากนะคะ” เธอพูดแล้วตบเสาต้นหนึ่งที่อยู่ข้างประตูเบาๆอย่างชื่นชม “อายุกว่าร้อยปีหนึ่งในอาคารเก่าแก่ที่สุดในย่านนี้เลย”
บนคานคอนกรีตเหนือประตูกว้างด้านหน้ามีคำว่า “คาวาช” สลักไว้เป็นตัวอักษรหนา เนทไม่แน่ใจว่าเป็นคำที่มีความหมายหรือเป็นชื่อ “ดูเยี่ยมทีเดียวครับ”
“สมัยนั้นพวกเขาสร้างตึกให้อยู่ได้ถาวร ใครๆก็ว่ากันอย่างนั้นไม่ใช่เหรอคะ” เธอดึงประตูเหล็กนิรภัยให้เปิดออกประตูหน้าที่อยู่ถัดไปเปิดกว้าง “เข้ามาสิฉันจะพาคุณดูสถานที่”
ล็อบบี้เล็กๆดูเหมือนในหนังฟิล์มนัวร์หลายเรื่อง ห้องหมายเลข 1 และ 2 ขนาบข้างประตูหน้าบันไดที่ราวบันไดถูกใช้งานมานานโค้งขึ้นไปที่ชั้นสอง ใต้บันไดมีตู้จดหมายสองแถว และใต้ตู้จดหมายมีสมุดโทรศัพท์วางซ้อนเป็นตั้งสูง ดูเหมือนอยู่ตรงนั้นมานานแล้ว
“อย่าใส่ใจเลยนะคะ” เธอพูด “ปกติแล้วออสคาร์ผู้จัดการอาคารมักจะเก็บอะไรๆให้เป็นระเบียบน่ะค่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกครับ” เขาบอก
เธอยิ้มให้อีกครั้งและเนทก็รู้สึกปั่นป่วนราวกับมีผีเสื้อบินวนอยู่ในท้อง ต้องฝึกมาแน่ๆไม่มีใครจะสวยธรรมชาติได้กับอีแค่การโค้งริมฝีปากและโชว์ฟันหรอก
“ขึ้นไปข้างบนกันเถอะ” เธอพูดและเหลือบมองไอแพด “เราจะซิกแซกกันหน่อย”
เธอนำเขาขึ้นบันไดโค้งไปยังชั้นสองและเดินไปตามทางเดิน ระหว่างห้องทุกอย่างเป็นสีน้ำตาลเข้มและสีงาช้าง ทั้งคู่เดินผ่านประตูกระจกแคบๆที่ทำให้เขานึกถึงตู้โทรศัพท์แบบเก่า โทนีหันกลับมามองตามสายตาเขา “ลิฟต์ค่ะ” เธออธิบาย “ตอนนี้เสียอยู่น่าจะใช้ได้ตอนคุณย้ายเข้ามา แต่มันเล็กมาก คุณต้องขนเฟอร์นิเจอร์ขึ้นบันไดอยู่ดี”
“ดีที่ผมมีของไม่เยอะ” เนทพูดเขาเหลือบมองอีกฟากทางเดิน และเห็นแม่กุญแจคล้องอยู่ที่ประตูห้องซึ่งมีเลข 14 อยู่ แต่โทนีเดินนำทัวร์เลยไปแล้ว เขาหันกลับไปมองแต่มีกรอบหนาบังประตูไว้
“มียี่สิบสองห้อง” โทนีพูดขณะทั้งคู่เดินตรงไปยังด้านหลัง “แปดหกแล้วก็แปด” ทั้งคู่ก้าวออกประตูหนีไฟเข้าไปอยู่ในพื้นที่กว้างใหญ่ทอดจากด้านหนึ่งไปถึงอีกด้านของอาคาร มีเก้าอี้นวมตัวยาวสามตัวกับเก้าอี้สองตัวเข้าชุดกัน ผนังด้านใต้มีทีวีจอแบนขนาดใหญ่อย่างน้อยก็สี่สิบนิ้ว “พื้นที่นั่งเล่นพักผ่อนเปิดให้ทุกคนใช้” เธอพูด “มีสายเชื่อมต่อเกมหรือบลูเรย์หรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าอยากจองเวลาทำอะไรก็ทิ้งโน้ตไว้ได้”
ด้านหลังของห้องนั่งเล่นนี้ยังเป็นชานบันไดของช่องบันไดด้านหลังด้วย ดูเป็นแนวดิบๆแบบพวกปูนเปลือยมากกว่าบันไดหน้า และสลับด้านไปมาด้วยช่วงพักบันไดช่วงสั้นๆ โทนิขึ้นบันไดต่อ ทางเดินหน้าห้องของชั้นสามเหมือนสองชั้นข้างล่าง แต่ละด้านของชานบันไดคือประตูสีน้ำตาลเขียนว่า 27 กับ 28 เธอหยิบกุญแจออกมาและเปิดห้อง 28
ห้องสตูดิโอไม่ได้ใหญ่โตโอฬารแต่มันก็ใหญ่ทีเดียว เนทนึกภาพร่างโคลนมากมายของตัวเองนอนเรียงสลับด้านหัวกับเท้าบนพื้นไม้เนื้อแข็ง แล้วเดาว่าห้องมีขนาดยี่สิบคูณยี่สิบ อาจจะลึกมากกว่ากว้าง เชือกยาวสองเส้นห้อยลงมาจากพัดลมเพดานตรงกลาง ผนังอิฐฝั่งตรงข้ามจากประตูมีหน้าต่างมหึมาสองบานใหญ่พอที่จะเข้าไปยืนได้ มีไม้หรือโลหะแบ่งบานหน้าต่างออกเป็นช่องๆแบบหน้าต่างโบราณ เชือกที่มีตุ้มถ่วงตรงปลายสำหรับเปิดหน้าต่างซ่อนอยู่ในกรอบหน้าต่าง
เนทมองเห็นลอสแอนเจลิสที่ด้านนอกหน้าต่าง เนินเขาเตี้ยๆ และฐานสูงของอาคารทำให้เขาอยู่สูงกว่าพื้นดินเกือบห้าชั้น หน้าต่างมองตรงออกไปเหนืออาคารที่อยู่ถัดไป เขามองเห็นทางหลวงสาย 101 อยู่ห่างไปทางเหนือไม่กี่ช่วงตึกบนไหล่เขาไกลออกไป เนทเห็นหอดูดาวกริฟฟิธพาร์ค
เสียงส้นรองเท้าของโทนีกระทบพื้น “วิวเจ๋งใช่มั้ยล่ะคะ”
“เยี่ยมเลยครับ” เขาเอนหัวเข้าไปใกล้กระจก ข้างนอกหน้าต่างทางด้านซ้ายเป็นตัวอักษรสูงสีขาวของป้ายฮอลลีวู้ด
โทนีก้าวผ่านช่องประตูไปทางซ้ายและเข้าไปในครัว เคาน์เตอร์ตกแต่งด้วยกระเบื้องสีขาวและสีฟ้าเป็นรูปแบบที่เกือบจะใช้เป็นกระดานหมากรุกได้เลย พื้นปูด้วยพรมน้ำมันลวดลายเลียนแบบเคาน์เตอร์ “อพาร์ตเมนต์มีตู้เย็นกับอ่างอาบน้ำมีขาตั้งให้” เธอพูด “ห้องซักผ้าอยู่ที่ชั้นใต้ดิน มีชั้นดาดฟ้าอาบแดดบนหลังคา เริ่มต้นเราจะเก็บค่าเช่าล่วงหน้าหกเดือน แต่หลังจากนั้นจะเก็บเดือนต่อเดือน ทันทีที่เครดิตคุณผ่าน เราจะขอเก็บค่าเช่าเดือนแรกกับเดือนสุดท้าย”
เนทเดินไปที่ครัวและพยายามวางมาดนิ่งๆ เปิดตู้สองสามใบและเพ่งดูพื้นด้านบนของตู้เพื่อที่จะได้ไม่สุ่มเสี่ยงทำอะไรโง่เง่าเพราะรอยยิ้มของเธอ “แล้วค่าเช่าเท่าไหร่ครับ” เขาถาม “คนที่แนะนำผมเขาบอกว่าค่าเช่าถูกนะ”
“คือเราเพิ่งจะขึ้นค่าเช่า” เธอพูด “ก็เลยไม่ได้ถูกเท่าเมื่อก่อน”
เนทหันกลับไปมองห้องสตูดิโอและนึกภาพเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดของเขาตั้งเรียงรายไปตามผนัง “ก็พอเข้าใจได้” เขาพูด “ตกลงว่าเท่าไหร่ครับ”
“ห้าร้อยหกสิบห้า” เธอพูด “รวมค่าสาธารณูปโภคแล้ว”
“อันไหนครับ”
“ทุกอย่างค่ะ”
เนทเสี่ยงมองรอยยิ้มนั้น “รวมทั้งหมดแล้วห้าร้อยหกสิบห้าดอลลาร์หรือครับ”
“ค่ะ” เธอพูด “คุณสนใจมั้ย”
“แม่งโคตรสนเลย” เขาพูด “ขอโทษครับ”
ยิ้มของโทนีแกว่งไปชั่วขณะ และเขาก็ได้เห็นยิ้มแท้จริงที่ทะลุผ่านยิ้มที่ฝึกฝนแล้วขึ้นมา “ไม่เป็นไรค่ะ” เธอพูด “เวลาอะไรๆไม่ได้อย่างใจ ฉันก็ขึ้นชื่อเรื่องชอบสบถแรงๆเหมือนกะลาสีเหมือนกัน”
โทนีหยิบนามบัตรกับปากกาออกมาจากกระเป๋า เธอใช้ด้านหลังของไอแพดเป็นที่รองและเขียนอะไรเร็วๆลงบนนามบัตร “เข้าไปที่เว็บไซต์ล็อกแมเนจเมนต์นะคะ แล้วใช้รหัสนี้ล็อกออน” เธอพูด “ใช้การสมัครแบบออนไลน์ทั้งหมด ทำเสียคืนนี้เลยแล้วเราจะได้จัดการตรวจสอบเครดิตวันจันทร์ สัปดาห์หน้าในเวลานี้ที่นี่ก็จะเป็นห้องของคุณ”
“เยี่ยมยอด” เนทพูด “เครดิตไม่น่ามีปัญหา”
“ดีเลยค่ะ” เธอพูด “ฉันจะโทรหาคุณสัปดาห์หน้าและ—” ยิ้มของเธอชะงักและเริ่มสลายไป เธอก้าวถอยหลังและมองเห็นมันพอดี
แมลงสาบตัวหนึ่งปรากฏตัวบนเคาน์เตอร์ไม่ใช่แมลงสาบตัวใหญ่ยักษ์แบบที่เนทเห็นตามข้างถนนตอนกลางคืนแต่ก็ตัวใหญ่เอาเรื่อง—ขนาดเท่าครึ่งนิ้วหัวแม่มือของเนทหนวดมันกระดิกขณะที่มันเดินซิกแซกข้ามเคาน์เตอร์ไป
“ขอโทษด้วยนะคะ” โทนิพูดและเหลือบมองไอแพดอีก “เรามีคนมากำจัดแมลงสาบทุกเดือนเว้นเดือน แต่ไม่มีทางกำจัดได้หมดหรอก คุณก็รู้”
เจ้าแมลงหยุดอยู่ในลำแสงจากดวงอาทิตย์ให้พวกเขาทั้งคู่ได้มองเห็นชัดๆแล้วมันก็มองเนทตอบกลับมา จากนั้นมันก็แนบตัวเข้าไปด้านหลังแผ่นเต้าเสียบและหายไป “เดี๋ยวนะ ไอ้แมลงสาบนั่นสีเขียวสดเรอะ”
โทนียักไหล่และยิ้มของเธอก็ปรากฏให้เห็นอีกครั้ง “ใช่มั้งคะ ตึกเก่าก็ต้องมีอะไรแปลกๆบ้างอยู่แล้ว”