ตัวอย่าง “วอร์โคสิกัน วอร์เกม”

หนึ่ง

“ประจำการบนยาน!” เรือตรีนายที่เข้าแถวอยู่ก่อนหน้าไมล์สไปสี่คนหัวเราะร่า ดูกระหยิ่มยิ้มย่องขณะกวาดตาอ่านคำสั่ง ฟิล์มเอกสารในมือสั่นนิดๆ “ฉันจะได้เป็นนายทหารการอาวุธสามัญประจำยานลาดตระเวนหลวง คอมโมดอร์วอร์ฮาลาส รับคำสั่งให้ไปรายงานตัวที่ฐานทัพแทเนอรีทันทีเพื่อขึ้นสู่วงโคจร” พอถึงตอนนี้ เขาก็กึ่งเดินกึ่งกระโดดในท่าที่ไม่สมเป็นทหารสักนิดออกจากแถวเพื่อเปิดทางให้นายทหารคนถัดไป ทั้งที่ยังสูดปากด้วยความดีใจไม่หยุด

“เรือตรีพลอส” จ่าชราประจำโต๊ะทำหน้าเบื่อหน่ายและวางมาดเหนือกว่าไปพร้อมกัน พลางบรรจงคีบซองใบถัดไปขึ้นมาด้วยนิ้วโป้งและนิ้วชี้ เขารับหน้าที่นี้ที่โรงเรียนนายร้อยแห่งกองทัพจักรวรรดิมานานแค่ไหนกันนะ ไมล์สนึกสงสัย ดวงตาไร้อารมณ์คู่นั้นได้เห็นชั่วขณะอันแสนสำคัญครั้งแรกสุดในชีวิตของนายทหารหนุ่มมากี่ร้อย—กี่พัน—คนกันแล้ว หลังผ่านไปหลายปี ทุกคนก็ดูเหมือนๆ กันไปหมดหรือเปล่า สวมเครื่องแบบสีเขียวใหม่เอี่ยมแบบเดียวกัน กลัดแถบพลาสติกทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีน้ำเงินวาววับบ่งบอกตำแหน่งที่เพิ่งได้รับหมาดๆ ไว้บนคอปกทรงตั้งแบบเดียวกัน และมีแววตาหิวกระหายของนายทหารที่เพิ่งจบการศึกษาจากโรงเรียนทหารอันดับหนึ่งของกองทัพ เปี่ยมความบ้าบิ่นและฝันหวานถึงอนาคตอันสดใสในกองทัพแบบเดียวกัน พวกเราไม่ได้แค่ตบเท้าไปสู่อนาคต แต่บุกตะลุยเลยต่างหาก

พลอสก้าวหลบไปด้านหนึ่ง ทาบนิ้วโป้งลงกับปุ่มล็อค แล้วเปิดซองของตน

“เป็นไงๆ” อิวาน วอร์พาทริลที่ยืนอยู่หน้าไมล์สเร่งยิกๆ “อย่าให้เราต้องลุ้นสิ”

“โรงเรียนภาษา” พลอสยังอ่านคำสั่งอยู่

พลอสพูดภาษาถิ่นทั้งสี่ของบาร์รายาร์ได้เป๊ะอยู่แล้ว “เป็นนักเรียนหรือครู” ไมล์สถาม

“นักเรียน”

“อะฮ้า แปลว่าภาษาดาวอื่นสินะ จบแล้วหน่วยข่าวกรองก็จะมาเรียกตัว แบบนี้ได้ออกอวกาศแน่” ไมล์สว่า

“ก็ไม่แน่” พลอสตอบ “พวกนั้นอาจจะวางฉันแหมะไว้ในห้องคอนกรีตไร้หน้าต่างที่ไหนสักแห่ง ให้นั่งเขียนโปรแกรมแปลภาษาจนตาบอดไปข้างหนึ่ง” แต่แววแห่งความหวังเรืองขึ้นในดวงตาของเขาแล้ว

ไมล์สมีน้ำใจพอจะไม่ชี้ให้เห็นข้อเสียใหญ่เบ้อเริ่มของงานข่าวกรอง นั่นก็คือการที่มีนายใหญ่เป็นหัวหน้าสำนักงานความมั่นคงแห่งจักรวรรดิ ไซมอน อิลลิยัน ชายผู้จดจำได้ทุกสิ่ง แต่บางที นายทหารระดับพลอสอาจไม่ต้องเผชิญกับอิลลิยันเจ้าของวาจาแสนเชือดเฉือนก็เป็นได้

“เรือตรีลูบาชิค”

ลูบาชิคเป็นชายผู้เคร่งขรึมจริงจังที่สุดเป็นอันดับสองเท่าที่ไมล์สเคยพบเคยเห็น เขาจึงไม่แปลกใจเมื่อลูบาชิครูดซิปเปิดซอง แล้วกระอักคำว่า “อิมพ์เซค วิชารักษาความปลอดภัยและต่อต้านการลอบสังหารขั้นสูง” ออกมา

“อ้อ โรงเรียนทหารรักษาพระองค์” อิวานพูดอย่างตื่นเต้นและออกความเห็นทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้ขอ

“ถือเป็นเกียรติอย่างมากเลยนะเนี่ย” ไมล์สทัก “ปกติแล้ว ลูกศิษย์ของอิลลิยันมีแต่ทหารที่รับราชการครบยี่สิบปีที่พกเหรียญตรามาเป็นกระบุง”

“สมเด็จพระจักรพรรดิเกรกอร์คงขอให้อิลลิยันหาคนอายุไล่ๆ กันมาล่ะมั้ง” อิวานว่า “โลกจะได้สดใสขึ้นบ้าง ขืนอยู่แต่กับพวกฟอสซิลหน้าเหี่ยวที่อิลลิยันชอบเรียกใช้ ขนาดฉันเองยังซึมเศร้ากินได้เลย อย่าปล่อยให้ใครรู้ว่านายมีอารมณ์ขันเด็ดขาดนะ ลูบาชิค รู้สึกว่านั่นจะเป็นเกณฑ์คัดออกโดยอัตโนมัติ”

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ลูบาชิคไม่มีทางพลาดตำแหน่งนั้นแน่ ไมล์สคิด

“ฉันจะได้เจอองค์จักรพรรดิจริงๆ รึ” ลูบาชิคถาม เขาหันมาทำหน้าตาตื่นใส่ไมล์สกับอิวาน

“นายคงจะได้ดูเขากินมื้อเช้าทุกวัน” อิวานตอบ “น่าสงสารชะมัด” เขาหมายถึงลูบาชิคหรือเกรกอร์กันแน่ ต้องเป็นเกรกอร์แน่ๆ

“วอร์อย่างพวกนายรู้จักฝ่าบาทนี่ พระองค์เป็นคนยังไง”

ไมล์สชิงตอบก่อนแววสนุกในดวงตาอิวานจะกลายร่างเป็นมุกหลอกคน “ฝ่าบาทเป็นคนตรงไปตรงมามากๆ พวกนายต้องเข้ากันได้ดีแน่ๆ”

ลูบาชิคขยับหลบ หน้าตาดูสบายใจขึ้นบ้างยามอ่านฟิล์มซ้ำ

“เรือตรีวอร์พาทริล” จ่าขานชื่อเสียงเรียบ “เรือตรีวอร์โคสิกัน”

อิวานคนสูงก้าวไปรับซอง ไมล์สก็เช่นกัน จากนั้นจึงก้าวหลบไปสมทบกับเพื่อนสองคนก่อนหน้า

อิวานเปิดซอง “อะฮ้า กองบัญชาการสูงสุดที่วอร์บาร์สุลตาน่ารอฉันอยู่ ขอให้ทราบทั่วกันว่าฉันจะได้เป็นทส.ของพลเรือจัตวาโจลลิฟ กรมยุทธการ” เขาโค้งคำนับแล้วพลิกฟิล์มเพื่ออ่านต่อ “นับแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป”

“อู้วว” เรือตรีผู้ได้ออกประจำการบนยานลาดตระเวนซึ่งยังกระดี๊กระด๊าไม่หยุดว่า “อิวานได้เป็นเลขา ถ้านายพลลามิตซ์ชวนนั่งตักก็ระวังตัวหน่อยนะ ฉันได้ยินมาว่า—”

อิวานทำสัญญาณมือหยาบคายใส่เพื่อนอย่างอารมณ์ดี “อิจฉา อิจฉาชัดๆ ฉันจะได้ใช้ชีวิตอย่างพลเรือน เข้าเจ็ดเลิกห้า มีห้องส่วนตัวในเมือง—บนยานอะไรนั่นของนายน่ะไม่มีสาวๆ หรอกนะ ขอเตือน” น้ำเสียงของอิวานสดใสไม่ทุกข์ร้อน มีเพียงแววตาที่ซ่อนความผิดหวังไม่มิด อิวานเองก็อยากออกประจำการบนยานเหมือนกัน ใครๆ ก็อยากทั้งนั้น

ที่แน่ๆ ก็มีไมล์สคนหนึ่งละ ออกประจำการบนยาน แล้วไต่เต้าสู่ตำแหน่งบังคับการ เหมือนท่านพ่อ ท่านพ่อของท่านพ่อ ท่านพ่อของท่านพ่อของท่านพ่อ ความหวัง คำอธิษฐาน ความฝัน… เขาถ่วงเวลานิดหนึ่งเพื่อตั้งสติ ปล่อยให้ความกลัวกำเริบ รวบรวมความหวังเฮือกสุดท้าย แล้วบรรจงทาบนิ้วโป้งลงบนปุ่มล็อคเพื่อเปิดซอง ฟิล์มพลาสติกหนึ่งแผ่น ตั๋วเดินทางสองสามใบ… กิริยาบรรจงคงอยู่ได้เพียงชั่วครู่ที่ใช้อ่านย่อหน้าแสนสั้นนั้น ไมล์สตัวแข็งทื่ออย่างไม่อยากเชื่อสายตา แล้วอ่านทวนอีกหน

“เป็นไงมั่งพวก” อิวานเหลือบตาข้ามไหล่ไมล์ส

“อิวาน” ไมล์สสำลัก “นี่เราไม่ได้เรียนวิชาอุตุนิยมวิทยาในหมวดวิทยาศาสตร์จริงๆ หรือฉันแค่ความจำเสื่อมไปเอง”

“คณิตศาสตร์ห้ามิติน่ะมี พฤกษศาสตร์ต่างดาวก็มี” อิวานเกาผื่นคันในอดีตอย่างใจลอย “ธรณีวิทยาและการประเมินภูมิประเทศ เออ ก็มีวิชาอุตุนิยมวิทยาเพื่อการบินตอนปีหนึ่ง”

“ก็ใช่ แต่…”

“สรุปว่าคราวนี้พวกเขาส่งนายไปไหนล่ะ” พลอสถาม เห็นชัดว่าพร้อมจะแสดงทั้งความยินดีและความเห็นใจตามแต่สถานการณ์

“ฉันได้รับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายอุตุนิยมวิทยา ฐานทัพลาซโควสกี้ ไอ้ฐานทัพลาซโควสกี้นี่มันที่ไหนกันหา ไม่เคยได้ยินชื่อด้วยซ้ำ!”

จ่าที่โต๊ะเงยหน้าขึ้นยิ้มชั่วร้ายทันที “กระผมเคยครับ” เขาเอ่ย “มันตั้งอยู่บนเกาะไคริล ใกล้กับขั้วโลกเหนือ เป็นฐานฝึกฤดูหนาวของพวกทหารราบ พวกนักเรียนนายสิบเรียกมันว่าค่ายหิมะพันปี”

“ทหารราบเนี่ยนะ” ไมล์สขึ้นเสียง

อิวานเลิกคิ้วก่อนจะก้มลงนิ่วหน้าใส่ไมล์ส “ทหารราบเนี่ยนะ นายเนี่ยนะ ฉันว่าไม่ใช่ละ”

“ไม่ ไม่ใช่แน่ๆ” ไมล์สครางเสียงแผ่ว ความตระหนักถึงข้อจำกัดทางกายที่มีทำให้เขาชาไปทั้งตัว

ทัณฑ์ทรมานทางการแพทย์ซับซ้อนยากจะเข้าใจนานนับปีแก้ไขความพิกลพิการรุนแรงที่แทบคร่าชีวิตไมล์สตั้งแต่เกิดได้เกือบหมด แต่ก็แค่เกือบ ร่างที่ขดเป็นกบในวัยทารกเกือบจะยืนตัวตรงได้แล้ว กระดูกที่บางราวแท่งชอล์ค เปราะคล้ายทัลคัมเกือบจะแข็งแรงแล้ว จากเด็กจิ๋วแคระแกร็น ตอนนี้เขาสูงเกือบสี่ฟุตเก้า ทว่าสุดท้าย เขาก็ต้องสละความแข็งแรงของกระดูกเพื่อแลกกับความยาว หมอยังบ่นอยู่จนทุกวันนี้ว่าความสูงหกนิ้วสุดท้ายนั้นเป็นความผิดพลาด และไมล์สทำขาตัวเองหักบ่อยครั้งพอจะเห็นด้วยกับอีกฝ่าย แต่ป่านนั้นก็สายเกินไปแล้ว แต่ยีนเขายังปกติดี ไม่ได้กลายพันธุ์… ช่างเถอะ เรื่องนั้นแทบไม่สำคัญอีกต่อไป ถ้าเพียงแต่คนพวกนั้นจะยอมให้เขารับใช้จักรพรรดิด้วยจุดแข็งที่มี ไมล์สก็จะทำให้ทุกคนลืมไปเลยว่าเขามีจุดอ่อนพวกนั้นด้วย นั่นคือข้อตกลงระหว่างกัน

ในกองทัพต้องมีตำแหน่งเป็นพันๆ ที่ไมล์สทำได้โดยรูปลักษณ์แปลกประหลาดกับความเปราะบางที่ซ่อนเร้นของเขาไม่มีผลอะไรสักนิดสิ อย่างนายทหารติดตามหรือนักแปลประจำหน่วยข่าวกรอง กระทั่งนายทหารการอาวุธประจำยานก็ยังไหว ปล่อยให้เขานั่งหน้าคอมพิวเตอร์ไป ทุกฝ่ายเข้าใจดี ต้องเข้าใจสิ แต่ทหารราบเนี่ยนะ ต้องมีใครสักคนเล่นตุกติกแน่ หรือไม่ก็เกิดความผิดพลาดขึ้น ของมันเกิดขึ้นได้ใช่ไหมล่ะ เขาลังเลอยู่นาน มือกำฟิล์มเอกสารแน่นเข้า แล้วก้าวไปที่ประตู

“นายจะไปไหน” อิวานถาม

“ไปพบผู้พันเซซิล”

อิวานเป่าลมหายใจ “โอ้ โชคดีนะ”

นั่นจ่าประจำโต๊ะแอบยิ้มขณะก้มลงหยิบซองถัดไปหรือเปล่านะ “เรือตรีเดราต์” เขาขานชื่อ แถวขยับอีกครั้ง

ผู้พันเซซิลยืนทิ้งสะโพกพิงโต๊ะเสมียนและก้มดูอะไรบางอย่างบนหน้าจออยู่ตอนที่ไมล์สก้าวเข้าไปทำความเคารพ

เจ้าของห้องเหลือบตาขึ้นมองไมล์สก่อนจะก้มมองนาฬิกา “โฮ่! ไม่ถึงสิบนาที ฉันชนะพนัน” ผู้พันทำวันทยาหัตถ์ตอบไมล์สขณะที่เสมียนยิ้มอย่างเสียไม่ได้ หยิบปึกเงินออกมาจากกระเป๋า แล้วดึงธนบัตรหนึ่งมาร์คออกมาให้ผู้บังคับบัญชาโดยไม่พูดอะไร แต่สีหน้าของผู้พันก็ฉายแววขบขันแต่ผิวเผินเท่านั้น เขาพยักพเยิดไปทางประตู เสมียนฉีกฟิล์มเอกสารที่เพิ่งพิมพ์เสร็จออกจากเครื่องแล้วถือติดมือไปจากห้อง

ผู้พันเซซิลเป็นชายร่างผอมวัยห้าสิบ ใจเย็น ช่างสังเกต ช่างสังเกตมากๆ แม้จะไม่ใช่เจ้ากรมกำลังพลอย่างเป็นทางการเพราะตำแหน่งบริหารนั้นเป็นของนายทหารที่มียศสูงกว่า แต่ไมล์สมองออกนานแล้วว่าชายคนนี้คือผู้มีอำนาจชี้เป็นชี้ตาย คำสั่งประจำการของทหารจบใหม่ทุกคนต้องผ่านมือเซซิล ไมล์สพบว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่เข้าถึงได้ง่าย ความเป็นครูและนักวิชาการในตัวเขามาก่อนความเป็นนายทหารเสมอ อารมณ์ขันของเซซิลออกจะร้ายๆ และหายากเสียหน่อย ความทุ่มเทให้หน้าที่ไม่เป็นสองรองใคร ไมล์สไว้ใจชายผู้นี้เสมอมา จนกระทั่งวันนี้

“ท่านครับ” ไมล์สโบกคำสั่งในมืออย่างร้อนใจ “นี่มันอะไรกันครับ”

ดวงตาของเซซิลยังฉายแววขบขันจากเรื่องที่เขารู้คนเดียวขณะเก็บธนบัตรหนึ่งมาร์คนั่น “นี่จะมาขอให้ฉันช่วยอ่านรึ วอร์โคสิกัน”

“ท่านครับ ผมสงสัยใน—” ไมล์สชะงัก กัดลิ้นตัวเองไว้ แล้วเริ่มใหม่ “ผมมีคำถามเรื่องคำสั่งประจำการที่ได้รับ”

“เจ้าหน้าที่อุตุนิยมวิทยา ฐานทัพลาซโควสกี้” ผู้พันเซซิลว่า

“มัน… ไม่ได้ผิดพลาดหรือครับ ถูกซองแล้วหรือครับ”

“ถ้าเอกสารเขียนว่าอย่างนั้น ก็ถูกซองแล้ว”

“ท่านทราบใช่ไหมครับว่าผมเคยเรียนวิชาอุตุนิยมวิทยาแค่ตัวเดียว วิชาอุตุนิยมวิทยาเพื่อการบิน”

“รู้สิ” ผู้พันไม่แสดงทีท่าใดๆ

ไมล์สนิ่งไป การที่เซซิลสั่งให้เสมียนออกไปจากห้องเป็นสัญญาณว่าไม่ต้องอ้อมค้อม “นี่คือบทลงโทษหรือครับ” ผมไปทำอะไรให้คุณ

“อะไรกันผู้หมวด” เซซิลเอ่ยนิ่มๆ “มันก็แค่คำสั่งประจำการปกตินี่ เธอคิดว่าจะได้ตำแหน่งพิเศษหรือไง หน้าที่ของฉันคือการจัดสรรกำลังพลตามคำร้องที่มีเข้ามา ทุกตำแหน่งต้องมีคนไปลง”

“แต่พลช่างชั้นประทวนจบใหม่คนไหนก็รับตำแหน่งนี้ได้”  ไมล์สฝืนแววโมโหไม่ให้ปรากฏในน้ำเสียงอย่างยากเย็น แล้วคลายมือที่กำแน่นออก “และทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ งานนี้ไม่เห็นต้องเป็นนักเรียนนายร้อย”

“ถูกต้อง” ผู้พันเห็นด้วย

“แล้วทำไมล่ะครับ” ไมล์สโพล่งออกไป เสียงดังกว่าที่ตั้งใจ

เซซิลถอนใจแล้วยืดตัวตรง “ก็เพราะ วอร์โคสิกัน หลังจับตาดูเธอมานาน—เธอเองก็รู้ดีว่าตัวเองเป็นนักเรียนที่ถูกจับตาดูอย่างใกล้ชิดที่สุดเท่าที่เคยมีมา เป็นรองก็แค่องค์จักรพรรดิเกรกอร์—”

ไมล์สพยักหน้านิดหนึ่ง

“ฉันสังเกตว่าแม้เธอจะแสดงความปราดเปรื่องชัดเจนในบางด้าน แต่ก็มีจุดอ่อนเรื้อรังเช่นกัน ฉันไม่ได้หมายถึงปัญหาทางร่างกาย ที่ทุกคนยกเว้นตัวฉันเชื่อว่าจะทำให้เธอต้องออกตั้งแต่ยังไม่จบปีหนึ่ง—เรื่องนั้นเธอรู้ขีดจำกัดของตัวเองดีจนเหลือเชื่อ—”

ไมล์สยักไหล่ “เจ็บตัวไม่ใช่เรื่องสนุกครับ ผมไม่หาเรื่องใส่ตัว”

“ดีแล้ว แต่ปัญหาเรื้อรังที่สาหัสที่สุดของเธอคือเรื่อง… ต้องใช้คำไหนจึงจะตรงสุดนะ… ความเชื่อฟัง… เธอเถียงบ่อยเกินไป”

“เปล่านะครับ” ไมล์สพูดอย่างขัดใจ แต่แล้วก็รีบหุบปาก

เซซิลยิ้มนิดหนึ่ง “นั่นไง แถมยังมีนิสัยน่ารำคาญที่ชอบทำเหมือนผู้บังคับบัญชาเป็น เอ่อ…”  เซซิลนิ่งไป ดูเหมือนจะต้องค้นสมองหาคำเหมาะๆ อีกรอบ

“คนที่เท่าเทียมกันหรือครับ” ไมล์สลองเติมคำในช่องว่าง

“แพะแกะ” เซซิลแก้หลังชั่งใจอยู่นาน “ให้ต้อนไปไหนมาไหนตามใจ เธอเป็นนักชักใยตัวเอ้ วอร์โคสิกัน ฉันเฝ้าดูเธอมาสามปีแล้ว พลวัตในกลุ่มของเธอน่าทึ่งมาก ไม่ว่าจะได้เป็นหัวหน้ากลุ่มหรือไม่ สุดท้ายแล้วทุกคนก็ทำตามความเห็นของเธออยู่ดี”

“ผม… กระด้างกระเดื่องถึงขั้นนั้นเลยหรือครับ” ไมล์สเย็นวาบไปถึงช่องท้อง

“ตรงกันข้ามเลย ดูจากภูมิหลังของเธอแล้ว ที่น่าทึ่งคือการที่เธอเก็บซ่อน เอ้อ นิสัยโอหังนิดๆ นั่นได้ดีขนาดนี้ต่างหาก แต่ว่านะ วอร์โคสิกัน”  เซซิลเปลี่ยนเป็นจริงจังในที่สุด “โรงเรียนนายร้อยไม่ใช่กองทัพ เพื่อนร่วมชั้นชอบเธอก็เพราะคนที่นี่ให้ค่ากับมันสมอง ทุกครั้งที่มีการจับทีมแข่งวางแผนกลยุทธ์ เธอจะถูกเลือกเป็นคนแรกเสมอ ซึ่งก็ด้วยสาเหตุเดียวกับที่เธอถูกเลือกเป็นคนสุดท้ายเสมอในการแข่งที่ต้องประลองกำลังกันล้วนๆ ทหารหนุ่มทะเยอทะยานพวกนี้ต้องการคว้าชัยชนะ ตลอดเวลา ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไรก็ตาม”

“ให้ผมทำตัวเป็นคนธรรมดาก็มีแต่ตายกับตายสิครับ!”

เซซิลเอียงคอ “ฉันเห็นด้วย แต่บางครั้งเธอก็ต้องหัดบัญชาการคนธรรมดา และก็ต้องหัดอยู่ใต้บังคับบัญชาของคนธรรมดาด้วย!

“นี่ไม่ใช่บทลงโทษ วอร์โคสิกัน และไม่ใช่มุกตลกแกล้งกัน การตัดสินใจของฉันไม่ได้ส่งผลต่อชีวิตของนายทหารใหม่แกะกล่องเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้บริสุทธิ์ที่ต้องรับมือกับพวกเขาด้วย ถ้าฉันคาดการณ์ผิดอย่างรุนแรง ประเมินใครสักคนสูงไปหรือต่ำไป คนที่ตกอยู่ในอันตรายจะไม่ใช่แค่ตัวเขาแต่ยังรวมถึงคนรอบข้าง ทีนี้ก็ฟังให้ดีนะ อีกหกเดือน—บวกลบความล่าช้านอกกำหนดนิดหน่อย—อู่ยานหลวงในวงโคจรจะต่อยาน ปริ๊นซ์เซิร์ก เสร็จ”

ไมล์สลืมหายใจ

“ถูกแล้ว” เซซิลพยักหน้า “ยานที่เร็วที่สุดและมีกำลังพิฆาตสูงสุดเท่าที่องค์จักรพรรดิเคยบัญชา ระยะทำการก็ไกลที่สุดด้วย มันจะแล่นไปในอวกาศได้ไกลและนานกว่ายานลำใดที่เราเคยมีมา และนั่นก็แปลว่าทุกคนบนยานจะต้องเหม็นขี้หน้ากันอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่าที่เคย งานนี้กองบัญชาการให้ความสำคัญกับผลการวิเคราะห์ทางจิตวิทยาด้วย ในที่สุด

“ฟังให้ดีๆ นะ” เซซิลโน้มตัวมาข้างหน้า ไมล์สขยับตามโดยอัตโนมัติ “ขอเพียงเธออยู่สงบๆ ในฐานทัพไกลปืนเที่ยงบนผิวโลกได้นานหกเดือน—หรือพูดกันตรงๆ ก็คือถ้าเธอสามารถพิสูจน์ให้เห็นว่ารับมือกับค่ายหิมะพันปีได้ ฉันก็เชื่อว่าเธอรับมือทุกภารกิจที่กองทัพจะมอบให้ได้ และฉันจะรับรองคำขอย้ายไปประจำการบนยานของเธอ แต่ถ้าเธอทำพัง จะฉันหรือใครก็ช่วยเธอไม่ได้ทั้งนั้น จะรุ่งหรือจะร่วงก็ขึ้นอยู่กับเธอแล้ว เรือตรี”

ทะยานครับ ไมล์สคิด ผมจะทะยาน “ท่านครับ… ค่ายที่ว่านี่มันแย่แค่ไหนเชียว”

“ฉันไม่อยากสร้างอคติในหัวเธอ เรือตรีวอร์โคสิกัน” เซซิลตอบตามอย่างเคร่งขรึม

ผมก็รักคุณเหมือนกันครับ “แต่… ทหารราบหรือครับ ข้อจำกัดทางร่างกายของผม… ไม่เป็นอุปสรรคใดๆ ในการรับใช้ชาติก็จริง แต่ก็ต่อเมื่อกองทัพคำนึงถึงมันตามสมควรเท่านั้น จะให้ผมแสร้งทำเป็นว่ามันไม่มีอยู่จริงไม่ได้หรอกนะครับ ขืนเป็นอย่างนั้น สู้ให้ผมกระโดดลงกำแพงให้จบๆ ไปเลยยังดีกว่า จะได้ประหยัดเวลากันทุกฝ่าย” โธ่เว้ย แล้วจะปล่อยให้เรามานั่งกินที่ในห้องเรียนที่กินงบประมาณสูงสุดในประเทศนานตั้งสามปีไปทำไมถ้าคิดจะเชือดเราทิ้งแบบนี้ “ผมนึกว่ากองทัพจะคำนึงถึงมันตามสมควรเสมอ”

“เจ้าหน้าที่อุตุนิยมวิทยาเป็นตำแหน่งวิชาการ” ผู้พันรับรอง “ไม่มีใครโยนเป้สนามครบชุดทับเธอให้แบนติดดินหรอก และฉันก็ไม่คิดว่าจะมีเจ้าหน้าที่ในกองทัพคนใดอยากไปอธิบายสาเหตุที่เธอกลายเป็นศพให้ท่านนายพลฟังด้วย” เสียงของเขาเย็นชาขึ้นนิดหนึ่ง “ก็ถือว่ายังมีบุญคุ้มกะลาหัวอยู่นะ ไอ้เตี้ยกลายพันธุ์”

เซซิลไม่มีอคติอันใด เพียงแต่ทดสอบเขาเท่านั้น ทดสอบอยู่เสมอ ไมล์สก้มหน้าลง “ดั่งที่ตัวผมเองจะคอยคุ้มกะลาหัวพวกกลายพันธุ์คนใดหลังจากนี้”

“รู้ตัวแล้วสินะ” ดวงตาของเซซิลพลันฉายแววครุ่นคิด เจือแววพอใจจางๆ

“หลายปีแล้วครับ”

“โฮ่” เซซิลยิ้มออกมานิดหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินมายื่นมือให้ “อย่างนั้นก็ขอให้โชคดี ลอร์ดวอร์โคสิกัน”

ไมล์สจับมือตอบ “ขอบคุณครับ” เขาเรียงตั๋วเดินทางให้เป็นระเบียบ

“จะแวะที่ไหนก่อน” เซซิลถาม

ทดสอบอีกแล้ว คงฝังลึกจนกลายเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติ คำตอบของไมล์สเกินความคาดหมาย “หอบันทึกของโรงเรียนครับ”

“อ้อ!”

“ไปดาวน์โหลดตำราอุตุนิยมวิทยาของกองทัพกับเอกสารเพิ่มเติมครับ”

“ดีมาก อีกอย่างหนึ่งนะ เจ้าของตำแหน่งคนก่อนจะอยู่ต่ออีกสองสามสัปดาห์เพื่อปฐมนิเทศเธอให้เสร็จก่อน”

“ดีใจอย่างยิ่งที่ได้ยินอย่างนั้นครับ” ไมล์สตอบด้วยใจจริง

“เราไม่มอบหมายภารกิจที่ไม่มีทางสำเร็จให้เธอหรอกน่า ผู้หมวด”

แค่ยากจะสำเร็จ “ผมดีใจที่ได้ยินเช่นนั้นเหมือนกันครับ” ท่าวันทยาหัตถ์อำลาของไมล์สเกือบจะเรียกได้ว่านอบน้อมแล้วเชียว

————————————————————————————————————————————-

การเดินทางช่วงสุดท้ายไปสู่เกาะไคริลต้องอาศัยยานขนส่งอัตโนมัติลำใหญ่ซึ่งมีนักบินสำรองนั่งเซ็งอยู่หนึ่งนายกับเสบียงอีกแปดสิบตัน ไมล์สใช้เวลาส่วนใหญ่ของการเดินทางอันโดดเดี่ยวไปกับการเร่งยัดความรู้เรื่องสภาพภูมิอากาศใส่สมอง และด้วยความที่ตารางบินเละเทะเนื่องจากความล่าช้านานหลายชั่วโมงที่จุดพักรับสัมภาระสองจุดสุดท้าย กว่ายานขนส่งจะลงจอดที่ฐานลาซโควสกี้ ไมล์สก็ใจชื้นขึ้นนิดหนึ่ง เพราะอ่านหนังสือไปได้เยอะกว่าที่คาด

ประตูห้องระวางเปิดออกให้แสงซีดเซียวของดวงอาทิตย์ที่ลับๆ ล่อๆ อยู่ตรงเส้นขอบฟ้าสาดเข้ามา อุณหภูมิของสายลมกลางฤดูร้อนในที่แห่งนี้สูงกว่าจุดเยือกแข็งราวๆ ห้าองศา คนกลุ่มแรกที่ไมล์สเห็นคือทหารสวมชุดหมีสีดำที่ขับรถยกเข้ามาตามคำสั่งของนายสิบหน้าตาอ่อนล้าที่มารอรับยาน ดูเหมือนจะไม่มีใครได้รับคำสั่งให้มาต้อนรับเจ้าหน้าที่อุตุนิยมวิทยาคนใหม่เป็นพิเศษ ไมล์สสวมเสื้อกันหนาวแล้วก้าวไปหา 

คนชุดดำที่เห็นไมล์สกระโดดลงมาจากทางลาดพอดีหันไปพูดกันเป็นภาษาบาร์รายาร์กรีก อันเป็นภาษาของชนกลุ่มน้อยที่มีรากมาจากภาษาบนดาวโลก ทว่าเพี้ยนไปโดยสิ้นเชิงหลังผ่านยุคโดดเดี่ยวซึ่งกินเวลาหลายร้อยปี ไมล์สซึ่งยังเพลียจากการเดินทางแต่ก็อ่านสีหน้าที่คุ้นตาจนเกินไปเหล่านั้นออก ตัดสินใจทำหูทวนลมและแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจเสีย ยังไงพลอสก็ชอบพูดอยู่บ่อยๆ ว่าสำเนียงกรีกของไมล์สนั้นแย่มากอยู่แล้วนี่นะ

“ดูนั่นสิ เด็กที่ไหนวะ” 

“ก็รู้อยู่ว่าพวกนั้นชอบส่งเด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมา แต่คราวนี้มันเกินไป” 

“เฮ้ย ไม่ใช่เด็กว่ะ ไอ้แคระผีต่างหาก หมอตำแยลืมปาดคอสินะ ดูสิ ไอ้พวกกลายพันธุ์โว้ย” 

ไมล์สฝืนสุดชีวิตไม่ให้หันไปมองเจ้าของเสียง พอมั่นใจว่าไม่มีใครฟังออก เสียงกระซิบก็ดังขึ้นเป็นเสียงพูดตามปกติ

“แล้วมันมาทำอะไรในเครื่องแบบวะเนี่ย”

“สงสัยจะเป็นมาสค็อตประจำหน่วยตัวใหม่ว่ะ”

ความกลัวเรื่องพันธุกรรมแปดเปื้อนนั้นหยั่งรากลึกและแพร่หลายอย่างยิ่ง จนกระทั่งทุกวันนี้คนอย่างไมล์สก็ยังอาจจะถูกซ้อมจนตายด้วยฝีมือของคนที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงต้องเกลียดคนอย่างเขา แต่แค่ถูกอารมณ์คนหมู่มากพาไป ไมล์สรู้ดีว่าฐานันดรของท่านพ่อคือสิ่งที่คุ้มครองเขามาตลอด แต่คนที่โชคไม่ดีเท่าเขาก็ยังเจอเรื่องร้ายๆ อยู่ สองปีก่อนเพิ่งจะมีเหตุการณ์สะเทือนขวัญในย่านเมืองเก่าของวอร์บาร์สุลตาน่า เมื่อชายขาเป๋สิ้นไร้ไม้ตอกคนหนึ่งถูกแก๊งขี้เมาตัดไอ้จ้อนทิ้งด้วยขวดไวน์ที่ทุบเป็นปากฉลาม แค่การที่เรื่องนี้กลายเป็นข่าวฉาวแทนที่จะถูกมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาก็ถือว่าก้าวหน้าแล้ว คดีสังหารทารกแรกเกิดเมื่อไม่นานมานี้ในแคว้นวอร์โคสิกันยิ่งแทงใจดำกว่านั้นอีก ใช่ ฐานะตำแหน่งทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นในวงสังคมหรือทางทหารก็มีประโยชน์ของมัน และไมล์สก็จะไม่หยุดจนกว่าจะคว้าเอามันมาครองได้หมด

ไมล์สรั้งคอเสื้อกันหนาวไปด้านหลัง ให้แถบยศที่ปกเสื้อปรากฏชัด “สวัสดีสิบโท ฉันได้รับคำสั่งให้มารายงานตัวกับเรือเอกอาห์น เจ้าหน้าที่อุตุนิยมวิทยาประจำฐานทัพ ฉันจะพบเขาได้ที่ไหน” 

ไมล์สรอให้อีกฝ่ายทำความเคารพตามระเบียบอยู่ชั่วอึดใจ มันเกิดขึ้นอย่างเชื่องช้าเพราะนายสิบยังจ้องเขาไม่เสร็จ ในที่สุดอีกฝ่ายก็ตระหนักว่าไมล์สอาจจะเป็นนายทหารสัญญาบัตรตัวจริงเสียงจริง

สิบโททำความเคารพ แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว “ขออภัยครับ เอ่อ ท่านว่าอะไรนะครับ”

ไมล์สทำวันทยาหัตถ์ตอบอย่างเฉยชาแล้วทวนคำเสียงเรียบ

“อ้อ ผู้กองอาห์น ครับผม เขามักจะไปแอบ—เอ่อ เขามักจะอยู่ในออฟฟิศที่ตึกอำนวยการ” สิบโทผายมือไปยังตึกสำเร็จรูปสองชั้นซึ่งโผล่ขึ้นมาจากด้านหลังของแนวโกดังริมลานบิน ห่างออกไปราวๆ หนึ่งกิโลเมตร “ไม่มีทางหลงแน่ครับ มันเป็นตึกที่สูงที่สุดในฐานทัพ”

ไมล์สเห็นอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ นานาโผล่ขึ้นมาจากดาดฟ้าด้วย ดีมาก

ว่าแต่เขาควรจะส่งสัมภาระให้พวกลูกกระจ๊อกจัดการ แล้วภาวนาว่ามันจะตามเขาไปถึงจุดหมายได้ในที่สุด หรือจะขัดจังหวะการทำงานของคนเหล่านี้แล้วสั่งให้ขับรถยกไปส่งเขาดี ไมล์สนึกภาพตัวเองถูกยกขึ้นไปห้อยต่องแต่งเหมือนแม่ย่านางเรือ และแล่นไปยังจุดหมายปลายทางพร้อมกับชุดชั้นในขายาว เก็บความร้อน สองโหลต่อกล่อง รหัสรุ่น #6774932 อีกครึ่งตัน ก่อนจะตัดสินใจสะพายถุงทะเลขึ้นบ่าแล้วเดินไปเอง

“ขอบใจมาก สิบโท” เขาก้าวฉับๆ ไปยังทิศที่อีกฝ่ายชี้ ทั้งที่รู้ดีว่าขาเป๋ๆ ของตนและเหล็กดามที่ซ่อนอยู่ใต้ขากางเกงต้องแบกรับน้ำหนักเพิ่ม สุดท้ายแล้วระยะทางก็ไกลกว่าที่คาด แต่ไมล์สก็คอยระวังตัวไม่ให้เผลอสะดุดหรือหยุดพักจนกว่าจะพ้นโกดังหลังแรกและลับสายตาของทหารเหล่านั้น

ฐานทัพนี้แทบจะเรียกได้ว่าร้าง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะประชากรหลักของค่ายแห่งนี้ย่อมเป็นนักเรียนนายสิบเหล่าทหารราบซึ่งจะขึ้นมาฝึกที่นี่สองผลัดในช่วงฤดูหนาว เวลานี้จึงมีแต่ทหารที่ประจำการถาวร และพนันได้เลยว่าคนส่วนใหญ่ต้องถือโอกาสใช้วันลาในช่วงหน้าร้อนอันแสนสั้นที่ไม่มีงานนี่ละ ไมล์สเดินหอบแฮกเข้ามาในตึกอำนวยการโดยไม่พบมนุษย์หน้าไหนเลยสักคน

ป้ายที่เขียนด้วยมือซึ่งแปะไว้บนจอแสดงแผนผังและรายชื่อหน่วยงานในตึกบอกว่ามันเสีย ไมล์สเลี้ยวขวาไปตามทางซึ่งมีอยู่เพียงสายเดียว พลางมองหาห้องที่มีคน ห้องอะไรก็ได้ ประตูส่วนใหญ่ปิดอยู่ แต่แม้จะไม่ได้ล็อค ห้องก็มืดสนิท ภายในห้องทำงานซึ่งติดป้ายไว้ว่าบัญชีทั่วไปมีชายสวมชุดสนามสีดำติดแถบยศเรือเอกสีแดงที่ปกเสื้อนั่งจ้องภาพโฮโลวิดซึ่งแสดงข้อมูลเป็นแถวยาวเฟื้อยเขม็ง เขาสบถพึมพำไม่หยุด

“สำนักอุตุนิยมวิทยาอยู่ไหน” ไมล์สตะโกนถาม

“ชั้นสอง” เรือเอกชี้ขึ้นไปข้างบนโดยไม่เสียเวลาหันมามองด้วยซ้ำ แต่กลับงุ้มไหล่ลงยิ่งกว่าเดิมแล้วสบถต่อ ไมล์สรีบย่องออกไป ไม่อยากรบกวนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้

ในที่สุดเขาก็พบห้องที่ว่าบนชั้นสอง ป้ายบนประตูที่ปิดสนิทซีดจางไปนานแล้ว เขาหยุดอยู่ด้านนอก วางถุงทะเลลง พับเสื้อกันหนาววางทับ แล้วตรวจตราความเรียบร้อย การเดินทางนานสิบสี่ชั่วโมงทำให้เสื้อซึ่งเคยเรียบกริบยับยู่ยี่ แต่เครื่องแบบสนามสีเขียวและบู๊ตครึ่งแข้งก็ยังไม่เลอะอาหาร โคลน หรือคราบไม่พึงประสงค์อื่นใด ไมล์สลูบหมวกให้เรียบแล้วเกี่ยวมันเข้ากับเข็มขัดให้เป๊ะ เขาข้ามดาวมาครึ่งดวง ฟันฝ่ามาครึ่งชีวิตเพื่อมาให้ถึงจุดนี้ ฝึกตนเตรียมพร้อมทั้งวันทั้งคืนมาสามปีเต็มๆ แต่ชีวิตในรั้วโรงเรียนนั้นก็มีกลิ่นไอของการแสดง ทั้งหมดก็แค่การซ้อม จางๆ แฝงอยู่เสมอ ทว่าตอนนี้ ในที่สุด เขาก็จะได้เผชิญหน้ากับของจริงแล้ว ได้เจอผู้บังคับบัญชาการตัวจริงคนแรกในชีวิต ความประทับใจแรกพบอาจชี้เป็นชี้ตายได้เลยทีเดียว โดยเฉพาะในกรณีของเขา ไมล์สสูดลมหายใจแล้วเคาะประตู

เสียงแหบพร่าอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์แว่วออกมา ใช่คำเชิญไหมนะ ไมล์สเปิดประตูแล้วก้าวเข้าไป

เขาเหลือบเห็นคอมพิวเตอร์และจอแสดงผลเรืองแสงเงาวับอยู่ที่ผนังด้านหนึ่ง ก่อนจะต้องผงะเมื่อไอร้อนพุ่งปะทะหน้า อุณหภูมิภายในอยู่ระดับเดียวกับร่างกายมนุษย์ เว้นแต่จอภาพต่างๆ แล้ว ห้องก็มืดทีเดียว ไมล์สรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวทางซ้ายจึงหันไปทำวันทยาหัตถ์ “เรือตรีไมล์สรายงานตัวเข้าปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งครับผม” เขาเอ่ยอย่างขึงขัง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น และไม่เห็นใครสักคน

การเคลื่อนไหวนั้นมาจากตำแหน่งที่ต่ำกว่ามาก ชายหนวดเครารุงรังวัยสี่สิบสวมเสื้อยืดนั่งพิงตู้คอมคอนโซลอยู่บนพื้น เขายิ้มเผล่ใส่ไมล์ส ชูขวดที่มีของเหลวสีอำพันอยู่ครึ่งหนึ่งใส่ แล้วพึมพำว่า “หวัดดี ไอ้หนู รักแกว่ะ” แล้วค่อยๆ ล้มแผละ

ไมล์สจ้องอีกฝ่ายอยู่เนิ่นนาน ในใจคิดหนัก

ชายคนนั้นเริ่มกรน

—————————————————————————————————————————————

หลังปรับอุณหภูมิลง ถอดเสื้อตัวนอกที่สวมอยู่ และห่มผ้าให้เรือเอกอาห์น (คนนี้ละถูกแล้ว) เรียบร้อย ไมล์สก็ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงถัดมาสำรวจอาณาจักรใหม่ของตนอย่างละเอียดลออ และตระหนักว่าเขาไม่มีทางปฏิบัติงานโดยปราศจากคำแนะนำได้ เพราะนอกเหนือจากภาพถ่ายดาวเทียมตามเวลาจริงแล้ว ก็ยังมีข้อมูลอัตโนมัติที่ส่งมาจากสถานีอากาศย่อยสิบสองแห่งทั่วเกาะอีก ต่อให้เคยมีคู่มือปฏิบัติการ มันก็หายสาบสูญไปแล้ว กระทั่งในคอมพิวเตอร์ก็ยังไม่มี และหลังจากอดทนจ้องมองร่างที่นอนกรนและกระตุกหน่อยๆ อยู่บนพื้นอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดีอยู่นานจนน่านับถือ ไมล์สก็ถือวิสาสะรื้อข้อมูลในโต๊ะและคอมคอนโซลของอาห์น

ข้อเท็จจริงแสนสำคัญสองสามข้อช่วยให้ไมล์สเข้าใจละครมนุษย์ตรงหน้ามากขึ้น ดูเหมือนว่าอีกไม่กี่สัปดาห์เรือเอกอาห์นก็จะได้ปลดเกษียณหลังประจำการครบยี่สิบปี เขาไม่ได้เลื่อนขั้นมานานแสนนาน และไม่ได้รับคำสั่งย้ายมานานกว่านั้นอีก ชายคนนี้เป็นเจ้าหน้าที่อุตุนิยมวิทยาเพียงคนเดียวบนเกาะไคริลตลอดสิบห้าปีที่ผ่านมา

หมอนี่ติดอยู่บนก้อนน้ำแข็งนี่มาตั้งแต่เราอายุหกขวบ ไมล์สอดขนลุกไม่ได้ หลังผ่านมานานขนาดนี้ ก็ยากจะบอกว่าปัญหาติดเหล้าของอาห์นคือสาเหตุหรือผลลัพธ์กันแน่ เอาเถอะ ถ้าพรุ่งนี้เขาสร่างเมาพอจะลุกขึ้นมาสอนไมล์สก็ถือว่าดี แต่หากไม่ ไมล์สก็นึกวิธีเรียกสติอีกฝ่าย (ไม่ว่าอีกฝ่ายจะอยากมีสติหรือไม่ก็เถอะ) ออกได้ครึ่งโหล ซึ่งมีตั้งแต่วิธีโหดๆ ไปจนถึงวิธีพิลึกพิลั่น ขอแค่ให้อาห์นคายหลักสูตรปฐมนิเทศวิธีใช้อุปกรณ์ออกมาก็พอ จากนั้นจะกลับไปนอนหมดสติจนกว่าจะมีคนมาลากขึ้นรถออกไปตอนเกษียณก็ได้ ไมล์สไม่ว่าอะไร

หลังตัดสินชะตากรรมของอีกฝ่ายเสร็จ ไมล์สก็สวมเสื้อตัวนอก เก็บสมบัติส่วนตัวไว้ใต้โต๊ะ แล้วออกสำรวจสถานที่ ต้องมีมนุษย์ที่มีสติดีๆ ที่รู้จักทำงานจริงๆ จังๆ อยู่ในสายการบังคับบัญชาสักคนสิ ไม่อย่างนั้นที่นี่ต้องเละยิ่งกว่าแน่ หรือว่าฐานทัพแห่งนี้จะอยู่ได้ด้วยนายสิบกันนะ หากเป็นอย่างนั้น เป้าหมายลำดับถัดไปของไมล์สก็คือการตามหาและชิงตัวนายสิบที่มีประสิทธิภาพสูงสุดมาให้ได้

ร่างมนุษย์ร่างหนึ่งปรากฏให้เห็นเมื่อไมล์สลงไปถึงชั้นล่าง ทีแรกมันก็เป็นเพียงเงาตะคุ่มๆ ในแสงที่สาดเข้ามาทางประตูหน้า ท่าวิ่งซอยเท้าตรงจังหวะเป๊ะนั้นเป็นของชายร่างสูงแข็งเกร็ง สวมกางเกงวอร์ม เสื้อยืด และรองเท้าวิ่ง เห็นชัดว่าเพิ่งกลับมาจากการวิ่งห้ากิโลเมตรเพื่อรักษาสมรรถภาพทางกายให้สมบูรณ์ และอาจจะวิดพื้นเล่นๆ แถมให้อีกสองสามร้อยครั้งด้วย เรือนผมสีเทาเหมือนเหล็ก ดวงตาสีเทาก็แข็งกร้าวไม่ต่างจากเหล็ก ดูเหมือนจ่าฝึกที่ขี้หงุดหงิดเป็นพิเศษ ชายคนนั้นหยุดกึกแล้วจ้องหน้าไมล์ส สีหน้าประหลาดใจชั่วครู่เปลี่ยนเป็นอาการนิ่วหน้าเม้มปากแน่น

ไมล์สยืนกางขาเล็กน้อย และเชิดหน้าขึ้นจ้องตอบอย่างดุดันไม่แพ้กัน อีกฝ่ายคล้ายจะไม่แยแสแถบยศที่ปกเสื้อไมล์สสักนิด ทำให้เขาตวาดออกไปอย่างหงุดหงิด “ยังมีใครอยู่เฝ้าสวนสัตว์นี่กันบ้างฮึ หรือคนเลี้ยงไปพักร้อนกันหมดแล้ว”

ดวงตาของชายคนนั้นเป็นประกายวาบ ราวกับเหล็กที่อยู่ภายในไปกระทบกับหินเหล็กไฟเข้า ไฟสัญญาณเตือนภัยในสมองไมล์สเพิ่งจะเริ่มทำงาน หลังปากดีล่วงหน้าไปเสียแล้ว สวัสดีขอรับ เสียงในใจไมล์สร้องอย่างเสียสติ แล้วกระโดดดึ๋งไปโค้งคำนับอย่างงดงาม สมาชิกใหม่ในสวนสัตว์มารายงานตัวครับผม! ไมล์สสั่งให้เสียงนั้นหยุดทันที อารมณ์ขันพรรค์นั้นดูจะไม่เข้ากับใบหน้าถมึงทึงเต็มไปด้วยริ้วรอยตรงหน้าสักนิด

รูจมูกของผู้บัญชาการฐานทัพเผยอออกอย่างเย็นชา ขณะที่เจ้าตัวก้มลงจ้องหน้าไมล์สแล้วคำรามว่า “ฉันนี่ละที่เฝ้ามันอยู่ ผู้หมวด”

กว่าไมล์สจะหาที่พักเจอ หมอกหนาก็เริ่มลอยมาจากทะเลที่ส่งเสียงครืนครางอยู่ไกลๆ พอดี เรือนพักนายทหารสัญญาบัตรและบริเวณโดยรอบคล้ายจะจมหายไปในแดนลับแลสีเทาอันหนาวเหน็บ ไมล์สฟันธงว่ามันต้องเป็นลางร้ายไม่ผิดแน่

ให้ตายสิ ฤดูหนาวนี้ต้องยาวนานเป็นบ้าเลยละ