นายทหารชั้นประทวนร่างสูงหน้าตาขึงขังสวมเครื่องแบบชุดเขียวอย่างทหารแห่งจักรวรรดิถือจอสื่อสารในมือราวกับคทาจอมพล เขาเคาะมันเข้ากับต้นขาอย่างใจลอย กวาดตาสํารวจกลุ่มเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างดูแคลนเยาะหยันท้าทาย
ก็แค่สงครามประสาท ไมล์สบอกตัวเอง เขายืนสู้สายลมฤดูใบไม้ร่วงเย็นเฉียบและพยายามไม่ตัวสั่นทั้งที่สวมแค่ขาสั้นกับรองเท้าวิ่ง ไม่มีอะไรทําให้คนเราเสียสมาธิได้เท่ากับการยืนอยู่ในสภาพเกือบเปลือยในขณะที่คนรอบข้างแต่งตัวเต็มยศพร้อมรับเสด็จจักรพรรดิเกรกอร์ แต่จะพูดให้ยุติธรรมแล้วคนแถวนี้ส่วนใหญ่ก็อยู่ในสภาพเดียวกับเขานั่นละ เพียงแค่นายทหารชั้นประทวนผู้คุมการสอบครั้งนี้ดูน่าเกรงขามเหมือนมีพวกมาเป็นโขยงทั้งที่มาแค่คนเดียว ไมล์สพิจารณาอีกฝ่าย สงสัยว่าเขาใช้ภาษากายอย่างไรกันจึงสื่ออารมณ์มีประสิทธิภาพอย่างเย็นชาเช่นนี้ออกมาได้ จะจงใจหรือไม่ก็เถอะ ถือเป็นตัวอย่างที่น่าเรียนรู้…
“วิ่งกันไปเป็นคู่” นายทหารสั่ง เขาไม่ได้ขึ้นเสียงสักนิด แต่มันกลับก้องไปถึงท้ายแถวได้ ถือเป็นอีกหนึ่งกลเม็ดที่ได้ผลดี ไมล์สคิด เขานึกถึงท่านพ่อที่มักจะเบาเสียงลงเป็นกระซิบเวลาเดือดจัด เป็นใครก็ต้องตั้งใจฟัง
“เราจะเริ่มจับเวลาการวิ่งห้ากิโลเมตรทันทีที่พ้นแนวเครื่องกีดขวางชุดสุดท้าย ขอให้จําไว้ให้ดี” นายทหารเริ่มจับคู่
กระบวนการคัดเลือกผู้สมัครเข้าโรงเรียนนายร้อยแห่งกองทัพจักรวรรดิบาร์รายาร์กินเวลาหนึ่งสัปดาห์อันโหดหิน ไมล์สเพิ่งผ่านการสอบข้อเขียนและสอบปากเปล่าห้าวันไป ส่วนที่ยากจบแล้ว ใครๆก็ว่าอย่างนั้น บรรยากาศรอบตัวเขาแทบจะผ่อนคลายด้วยซ้ำ คนหนุ่มรอบตัวเขาจับกลุ่มพูดคุยหัวเราะและบ่นเรื่องความยากของข้อสอบ ความงั่งของเจ้าหน้าที่คุมสอบ อาหารห่วย ถูกปลุกกลางดึก และการก่อกวนสมาธิระหว่างสอบกันเสียเกินจริง ก็แค่การบ่นอย่างโล่งใจของผู้รอดชีวิต ทุกคนตั้งหน้าตั้งตารอการทดสอบสมรรถภาพทางกายเหมือนรอเล่นเกม เหมือนช่วงพัก ส่วนที่ยากจบไปแล้ว สําหรับทุกคน ยกเว้นไมล์ส
ไมล์สยืนตรงเต็มความสูงเท่าที่มี ยืดตัวเต็มที่ราวกับจะเหยียดกระดูกสันหลังคดงอให้ตรงได้ด้วยพลังใจ เขาเชิดคางขึ้นนิดหนึ่งให้ศีรษะที่ใหญ่เกินไปดูสมดุล ศีรษะอย่างคนสูงหกฟุตกว่าที่อยู่บนร่างสูงไม่ถึงห้าฟุต และหรี่ตาเพ่งเครื่องกีดขวาง มันเริ่มต้นที่กําแพงคอนกรีตสูงห้าฟุตมีหนามเหล็กปักอยู่ด้านบน การปีนไม่ใช่ปัญหา กล้ามเนื้อเขาไม่ได้ผิดปกติตรงไหน ที่น่ากังวลคือขาลงต่างหาก กระดูก ต้องเป็นกระดูกบ้านี่ทุกทีสิน่า…
“โคสิกัน โคสโตลิตซ์” นายทหารชั้นประทวนขานชื่อขณะเดินผ่านไป ไมล์สขมวดคิ้วทันควัน เหลือบตาขึ้นมองนายทหารแวบหนึ่ง พลางข่มสีหน้าให้เรียบเฉย การตัดคํานําหน้าสกุลของเขาออกเป็นนโยบาย ไม่ใช่การหมิ่นเกียรติ เดี๋ยวนี้ชนชั้นไหนก็ถือว่าเท่าเทียมกันหมดเมื่อเข้ารับราชการทหาร เป็นนโยบายที่ดี ท่านพ่อสนับสนุนเต็มที่
แน่ละว่าท่านปู่โวยวายไม่หยุด แต่ตาแก่หัวโบราณนั่นก็รับราชการมาตั้งแต่สมัยที่กองกําลังหลักคือกองทหารม้า และนายทหารแต่ละคนล้วนฝึกลูกศิษย์กันเอง สมัยนั้นการขานชื่อท่านปู่ว่าโคสิกันโดยตัดคํานําหน้าว่าวอร์ทิ้งอาจเป็นเหตุให้ท้าดวลกันได้เลยทีเดียว วันนี้หลานชายของเขาจะสอบเข้าโรงเรียนทหารตามขนบ ของพวกนอกดาว ฝึกยุทธวิธีการใช้อาวุธพลังงาน หลบหนีด้วยรูหนอน และรับมือกับข้าศึกอวกาศ รวมถึงยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเด็กหนุ่มที่แต่ก่อนนั้นไม่มีสิทธิ์ขัดกระบี่ให้เขาด้วยซ้ำ
จะว่าเคียงบ่าเคียงไหล่ก็ไม่เชิง ไมล์สคิดอย่างขันปนขื่น พลางเหลือบมองผู้สมัครที่ยืนขนาบข้าง คนที่ถูกจับให้คู่กับเขาในสนามเครื่องกีดขวางชื่ออะไรนะ อ้อ โคสโตลิตซ์ สบตาเขาพอดีและปรายตาลงมองด้วยสายตาสนอกสนใจที่ปกปิดไม่มิด ระดับสายตาของไมล์สเปิดโอกาสให้เขาได้พิจารณากล้ามแขนสุดยอดของหมอนั่น นายทหารส่งสัญญาณให้คนที่ยังไม่ลงสนามพักแถวได้ ไมล์สกับคู่นั่งลงบนพื้น
“ฉันเห็นนายวนเวียนอยู่แถวนี้มาทั้งสัปดาห์” โคสโตลิตซ์เอ่ยขึ้น “ไอ้ที่ขานายนั่นมันอะไรน่ะ”
ไมล์สข่มความหงุดหงิดได้ง่ายดายเช่นคนที่ฝึกมานาน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเขาก็สะดุดตาเสมอ ยิ่งอยู่ในหมู่คนเหล่านี้ด้วยแล้ว อย่างน้อยโคสโตลิตซ์ก็ไม่ได้ทําสัญญาณมือปัดเป่าภูตผีใส่เขาอย่างยายแก่บ้านนอกคนนั้นที่วอร์โคสิกันเซอร์โลว์ ในดินแดนหลังเขาด้อยพัฒนาของดาวบาร์รายาร์ เป็นต้นว่าลึกเข้าไปในเทือกเขา เดนดารีซึ่งอยู่ในแคว้นของตระกูลวอร์โคสิกันเองนั้น ทารกแรกเกิดซึ่งผิดปกติเพียงน้อยนิด แค่ปากแหว่งเพดานโหว่ยังถูกสังหารกันอยู่ แม้เจ้าหน้าที่ส่วนกลางซึ่งมีสติรู้คิดมากกว่าจะรณรงค์ขจัดพฤติกรรมแบบนั้นเป็นพักๆก็ตาม ไมล์สเหลือบมองแท่งโลหะเงาวับคู่หนึ่งซึ่งประกบขาซ้ายไว้ตั้งแต่หัวเข่าจนถึงข้อเท้าที่ซ่อนอยู่ในขากางเกงอย่างมิดชิดจนกระทั่งวันนี้
“เหล็กดามขา” เขาตอบอย่างสุภาพแต่ไม่เปิดช่องให้ซักต่อ โคสโตลิตซ์ยังจ้องต่อไป “ไว้ทําอะไรน่ะ”
“อุปกรณ์ชั่วคราว กระดูกขาฉันเปราะ ต้องใส่ไว้ป้องกันไม่ให้มันหักจนกว่าพวกหมอจะแน่ใจว่าฉันโตเต็มที่แล้ว จากนั้นฉันก็จะเปลี่ยนเป็นกระดูกสังเคราะห์”
“พิลึกจริง” โคสโตลิตซ์ว่า “เป็นโรคหรือยังไงกัน” เขาแสร้งทําเป็นเปลี่ยนท่านั่งและเขยิบห่างจากไมล์สนิดหนึ่ง แปดเปื้อน แปดเปื้อน ไมล์สคิดไปเรื่อย จะสั่นกระดิ่งประกาศดีไหม น่าจะบอกหมอนี่ว่ามันเป็นโรคติดต่อ ปีที่แล้วฉันยังสูงหกฟุตสี่นิ้วอยู่เลย… เขาถอนใจไล่เรื่องน่าสนุกนั่น “แม่ฉันถูกก๊าซพิษตอนตั้งท้อง แม่รอดมาได้ แต่มันส่งผลต่อการเจริญเติบโตของกระดูกฉัน”
“อ้าว แล้วพวกเขาไม่รักษานายเรอะ”
“โอ๊ย รักษาเสียน่วมเลยละ ฉันถึงเดินได้อยู่ทุกวันนี้ แทนที่จะต้องนั่งอยู่ในถังให้ใครหิ้วไปมา” โคสโตลิตซ์ทําหน้าสะอิดสะเอียนเล็กน้อย แต่ก็เลิกแอบกระเถิบไปอยู่เหนือลม “นายผ่านการตรวจร่างกายมาได้ยังไง ฉันนึกว่ามีเกณฑ์ความสูงขั้นต่ำเสียอีก”
“ได้รับการยกเว้นจนกว่าผลการทดสอบจะออก”
“อ้อ” โคสโตลิตซ์นิ่งคิด
ไมล์สหันกลับไปสนใจการทดสอบที่รออยู่ เขาน่าจะผ่านฐานคลานต่ำลอดเลเซอร์ได้เร็วอยู่ ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะเขาต้องเก็บเวลาไว้ใช้กับการวิ่งห้ากิโลเมตร ความสูงที่หายไปและอาการกะเผลกถาวรหลังขาซ้ายหักไปนับครั้งไม่ถ้วนจนสั้นกว่าขาขวาถึงสี่เซนติเมตรเต็มๆจะถ่วงเขา ช่วยไม่ได้นี่นะ พรุ่งนี้ค่อยยังชั่วหน่อย พรุ่งนี้เป็นการทดสอบความอดทน ฝูงเด็กหนุ่มสูงโย่งขายาวแถวนี้ต้องวิ่งระยะสั้น ชนะเขาแน่ เขารู้ว่าต้องรั้งท้ายในการวิ่งทางไกล 25 กิโลเมตรรอบแรกพรุ่งนี้ อาจจะรอบสองด้วย แต่หลังผ่านไป 75 กิโลเมตร คนส่วนใหญ่จะช้าลงเมื่อความเจ็บปวดที่แท้จริงมาเยือน ฉันเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความเจ็บปวด โคสโตลิตซ์ เขาพูดกับคู่แข่งในใจ พรุ่งนี้ หลังผ่านไปร้อยกิโลเมตร ฉันจะขอให้นายถามคําถามพวกนั้นซ้ำ ถ้านายยังมีแรงเหลือ…
ช่างเหอะ สนใจเรื่องตรงหน้าดีกว่า อย่าไปสนไอ้เบื๊อกนี่ ต้องทิ้งตัวลงมาถึงห้าเมตร เดินอ้อมไปอาจจะดีกว่า กินศูนย์ที่ฐานนั้นไป แต่คะแนนรวมของเขาต้องออกมาน้อยอยู่แล้ว เขาไม่อยากเสียสักคะแนนโดยไม่จําเป็น แถมยังตั้งแต่ช่วงต้นอีกต่างหาก เขาต้องการทุกคะแนนที่ทําได้ การข้ามฐานกําแพงจะทําให้คะแนนของเขาเฉียดฉิวเกินไป
“นายคิดว่าจะผ่านการทดสอบสมรรถภาพทางกายได้จริงรึ” โคสโตลิตซ์ถามและกวาดตาไปรอบตัว “จะติดกลุ่มห้าสิบเปอร์เซ็นต์แรกได้จริงรึ”
“เปล่า”
โคสโตลิตซ์ทําหน้างง “งั้นจะมาสอบทําบ้าอะไร”
“ฉันไม่จําเป็นต้องผ่านเกณฑ์นั่น แค่ทําคะแนนให้ไม่น่าเกลียดมากก็พอ” โคสโตลิตซ์เลิกคิ้ว “นายไปเลียแข้งเลียขาใครมาถึงได้สิทธิ์นั้น เกรกอร์ วอร์บาร์รา รึ”
แววริษยาเริ่มปรากฏขึ้นในน้ําเสียงของอีกฝ่าย เป็นอาการระแวงที่มากับจิตสํานึกของชนชั้น ไมล์สหุบปากแน่น อย่าได้ชวนคุยเรื่องพ่อเชียวนะ…
“แล้วนายจะเข้าเรียนโดยไม่ต้องสอบผ่านได้ยังไง” โคสโตลิตซ์ไม่ยอมเลิก เขาหรี่ตา จมูกบานออกเมื่อได้กลิ่นของอภิสิทธิ์ เหมือนสัตว์ที่ได้กลิ่นคาวเลือด
หัดเล่นการเมืองหน่อย ไมล์สบอกตัวเอง เรื่องนั้นควรจะอยู่ในสายเลือดของนายเหมือนกับสงครามสิ “ฉันยื่นคําร้อง” ไมล์สอธิบายอย่างอดทน “ขอให้พิจารณาคะแนนเฉลี่ยแทนที่จะแยกหมวด ฉันเชื่อว่าคะแนนสอบข้อเขียนจะดึงคะแนนทดสอบสมรรถภาพทางกายขึ้นมาได้”
“ดึงให้สูงขนาดนั้นเนี่ยนะ นายต้องสอบให้ได้เกือบเต็มน่ะสิ!”
“ใช่เลย” ไมล์สคําราม
“โคสิกัน โคสโตลิตซ์” ผู้คุมสอบสวมเครื่องแบบอีกคนขานชื่อ ทั้งสองเดินเข้าไปยังจุดเริ่มต้น
“แบบนี้ฉันก็แย่น่ะสิ” โคสโตลิตซ์บ่น
“ทําไมล่ะ ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับนายเสียหน่อย ไม่ใช่ธุระของนายสักนิด” ไมล์สเสริมเสียงห้วน
“พวกเราถูกจับเป็นคู่จะได้มีตัวเปรียบเทียบ แล้วแบบนี้ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าตัวเองทําได้ดีหรือเปล่า”
“อ้อ ไม่ต้องกดดันตัวเองให้ตามฉันให้ทันหรอกนะ” ไมล์สเยาะ
โคสโตลิตซ์ขมวดคิ้วอย่างรําคาญใจ ทั้งสองก้าวเข้าประจําที่ ไมล์สเหลือบมองตัดลานสวนสนามไปยังกลุ่มคนที่เฝ้ารอและเฝ้าดูอยู่ วันนี้มีพวกญาติๆที่อยู่ในกองทัพและบริวารสวมเครื่องแบบประจําตระกูลติดตามพวกลูกชายท่านเคานต์มาหลายคน ชายหน้าตาดุดันสวมเครื่องแบบสีน้ำเงินและทองของตระกูลวอร์พาทริลสองคนยืนอยู่ในฝูงชน อิวาน ญาติเขาคงอยู่แถวๆนั้น
นอกจากนี้ก็มีโบธารี สูงราวภูเขาแต่เพรียวราวใบมีด สวมเครื่องแบบสีน้ำตาลและเงินของตระกูลวอร์โคสิกัน ไมล์สเชิดคางขึ้นแทนคําทักทายที่เล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น โบธารีที่อยู่ไกลไปร้อยเมตรสังเกตเห็นอากัปกิริยานั้นและเปลี่ยนท่ายืนจากท่าพักตามปกติเป็นตามระเบียบพักแทนการตอบรับ
นายทหารชั้นสัญญาบัตรสองสามคน นายทหารชั้นประทวนคนที่ว่า และผู้คุมสอบประจําสนามเครื่องกีดขวางสองคนสุมหัวกันอยู่ไกลๆ โบกไม้โบกมือ เหลือบมองมาทางไมล์ส ดูเหมือนจะถกเถียงกันอยู่แต่ได้ข้อสรุปแล้ว ผู้คุมสอบกลับไปประจําที่ นายทหารชั้นสัญญาบัตรคนหนึ่งสั่งให้เด็กหนุ่มคู่ถัดไปเริ่มการทดสอบ ส่วนนายทหารชั้นประทวนเดินมาหาไมล์สและคู่ของเขาด้วยทีท่าอึดอัด ไมล์สตีหน้าตั้งใจฟัง แต่ไม่มากเกินไป
“โคสิกัน” นายทหารคอยระวังไม่ให้อารมณ์ใดๆปรากฏในน้ำเสียง “คุณต้องถอดเหล็กดามขาออก เราไม่อนุญาตให้ใช้ตัวช่วยใดๆในการทดสอบ”
คําโต้แย้งโหลหนึ่งผุดขึ้นในหัวไมล์ส แต่เขาเม้มปากกลั้นมันไว้ นายทหารชั้นประทวนคนนี้ถือเป็นผู้บังคับบัญชาของเขา ไมล์สรู้ดีว่าวันนี้พวกเขาไม่ได้แค่ถูกทดสอบสมรรถภาพทางกายเท่านั้น “ครับผม” นายทหารดูโล่งอกนิดๆ
“ขอฝากมันไว้กับคนของผมได้ไหมครับ” ไมล์สถาม เขาขู่นายทหารด้วยสายตา ถ้าไม่ยอมละก็ ฉันจะให้นายเฝ้ามัน และนายก็จะต้องแบกมันไปท้ังวัน มาดูกันซิว่านายจะรู้สึกว่าตัวเองสะดุดตาผิดชาวบ้านแค่ไหน…
“แน่นอนครับผม” นายทหารตอบ เขาเผลอหลุด “ครับผม”ออกมา เขาก็ต้องรู้อยู่แล้วนี่นะว่าไมล์สเป็นใคร รอยยิ้มโฉดผุดขึ้นบนริมฝีปากไมล์สแวบหนึ่งก่อนจะหายวูบ เขาส่งสัญญาณให้โบธารีแล้วองครักษ์ผู้สวมเครื่องแบบประจําตระกลูก็เดินมาอย่างเชื่อฟัง “คุณไม่ได้รับอนุญาตให้พูดกับเขา” นายทหารสั่ง
“ครับผม” ไมล์สรับคํา เขานั่งลงบนพื้นและถอดอุปกรณ์น่าชังนั่นออก ดีแล้ว ตัวเบาขึ้นหนึ่งกิโลแน่ะ เขาโยนมันให้โบธารีผู้คว้ามันไว้ด้วยมือเดียวก่อนจะตะกายขึ้นยืน โบธารีไม่ได้ยื่นมือช่วย ซึ่งก็ทําถูกแล้ว
เมื่อเห็นองครักษ์ของเขายืนอยู่กับผู้คุมสอบแบบนี้ ฝ่ายหลังก็น่าเกรงขามน้อยลงทันที ผู้คุมสอบดูเตี้ยกว่าเดิม เด็กกว่าเดิม และถึงขั้นเหยาะแหยะนิดหน่อย ด้วยโบธารีสูงกว่า เพรียวกว่า แก่กว่ามาก อัปลักษณ์กว่าเยอะ แถมยังโหดกว่าแยะ แต่ก็นั่นละ โบธารีเป็นทหารชั้นประทวนมาตั้งแต่ผู้คุมสอบคนนี้ยังเป็นเด็กเตาะแตะด้วยซ้ำ
ขากรรไกรแคบ จมูกงุ้ม ดวงตาไม่อาจระบุสีอยู่ชิดกันเกินไป ไมล์สเงยหน้ามองใบหน้าบริวารในเครื่องแบบของเขาอย่างภาคภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของ เขาเหลือบไปทางสนามเครื่องกีดขวางและสบตาโบธารีนิดหนึ่ง โบธารีเหลือบมองมันเช่นกัน เขาเม้มปาก หนีบเหล็กดามไว้ใต้แขนแน่น ก่อนจะส่ายหน้านิดหนึ่งไปทางกลางสนาม ริมฝีปากของไมล์สกระตุก โบธารีถอนใจก่อนจะวิ่งเหยาะๆกลับไปยังจุดรอ
แนะนําให้ระวังสินะ แต่ก็อย่างว่า งานของโบธารีคือการดูแลให้เขาไม่บุบสลาย ไม่ใช่ช่วยให้เขาก้าวหน้าในอาชีพ ไม่สิ พูดอย่างนั้นไม่ยุติธรรมเลย ไมล์สดุตัวเอง ไม่มีใครช่วยเขาเตรียมตัวรับสัปดาห์โกลาหลนี้หนักเท่าโบธารีอีกแล้ว เขาฝึกไมล์สไม่รู้จักหยุดหย่อน กดดันร่างกายของไมล์สจนถึงขีดสุดที่มาถึงเร็วเกินไป ทุ่มเทรับใช้ความหมกมุ่นสุดจิตสุดใจของคนที่เขาต้องดูแลโดยไม่ท้อถอย ตําแหน่งบัญชาการครั้งแรกของฉัน ไมล์สคิด กองทัพส่วนตัวของฉัน
โคสโตลิตซ์มองตามโบธารีไป ดูเหมือนว่าในที่สุดเขาก็จําสีเครื่องแบบนั้นได้แล้ว เพราะสายตาที่มองกลับมายังไมล์สนั้นฉายแววตะลึงหลังตระหนักรู้
“มิน่าล่ะ” เขาพูด ทั้งทึ่งทั้งอิจฉา “มิน่าถึงได้เงื่อนไขพิเศษนั่น”
ไมล์สเม้มปากยิ้มตอบนัยดูแคลนที่แฝงอยู่ เขาเกร็งไปทั้งหลัง คิดหาคําย้อนกลับที่เจ็บแสบไม่แพ้กัน แต่ทั้งคู่ถูกสั่งให้เข้าประจําจุดเริ่มต้นเสียก่อน
ดูเหมือนว่าแผนกคิดวิเคราะห์ของโคสโตลิตซ์จะยังทํางานต่อ เพราะเขาเสริมอย่างเยาะๆ ว่า “มิน่าท่านผู้สําเร็จราชการถึงไม่เคยคิดจะชิงบัลลังก์!”
“จับเวลา” ผู้คุมประกาศ “เริ่มได้!”
และทั้งสองก็ออกวิ่ง โคสโตลิตซ์ขึ้นนําไมล์สทันที รีบวิ่งไปเถอะ ไอ้งั่ง เพราะถ้าฉันไล่ทันแกเมื่อไหร่ ฉันเชือดแกทิ้งแน่ ไมล์สควบตามไป รู้สึกเหมือนวัวในสนามแข่งม้า
กําแพง กําแพงบ้านั่น โคสโตลิตซ์ตะกายขึ้นไปได้ครึ่งทางแล้วเมื่อไมล์สไปถึง อย่างน้อยเขาก็สั่งสอนให้ไอ้วีรชนคนใช้แรงงานเห็นว่าคนเราปีนกันอย่างไรได้ เขาไต่ขึ้นไปราวกับว่าจุดเหยียบและจุดยึดเล็กจิ๋วเหล่านั้นคือบันไดกว้าง กล้ามเนื้อของเขาได้รับพลัง–มากเกินไปด้วย–จากแรงแค้น เขาแสนสะใจเมื่อขึ้นถึงยอดกําแพงได้ก่อนโคสโตลิตซ์ เขามองลงไป ก่อนจะชะงักกึก ทรงตัวอยู่ท่ามกลางรั้วแหลมอย่างง่อนแง่น
ผู้คุมสอบจับตามองอยู่ โคสโตลิตซ์ไล่ตามไมล์สขึ้นมาทัน ใบหน้าบู้บี้อย่างคนที่ออกแรงหนัก “พวกวอร์กลัวความสูงรึ” โคสโตลิตซ์อุทานและหันมายิ้มกว้าง เขาเหวี่ยงตัวลงไป ลงจอดเสียงดังหนักแน่น พยุงตัวขึ้นมาอยู่ในท่ายืน และวิ่งไป
การปีนลงไปอย่างยายแก่ไขข้อเสื่อมจะทําให้เขาเสียเวลาอันมีค่าไปหลายวินาที บางที ถ้าเขากลิ้งไปกับพื้น ผู้คุมสอบจ้องอยู่ โคสโตลิตซ์วิ่งถึงด่านถัดไปแล้ว ไมล์สกระโดด
เวลาคล้ายจะยืดยาวออกไป ขณะที่เขาร่วงลงสู่พื้นทราย คล้ายกับจะให้เขาตระหนักถึงความผิดพลาดของตัวเองอย่างเต็มที่ เขากระทบพื้นทรายด้วยเสียงเป๊าะคุ้นหู
และนั่งอยู่อย่างนั้น กะพริบตาสู้ความปวดอย่างทึ่มทื่อ เขาจะไม่ร้องโอ๊ยเด็ดขาด อย่างน้อย เสียงของผู้สังเกตการณ์ในหัวเขาเยาะขึ้น คราวนี้นายก็โทษเหล็กดามขาไม่ได้ คราวนี้นายทําหักทั้งสองข้างเลยนี่
ขาเขาเริ่มบวมและเปลี่ยนสี จ้ำแดงและขาวปรากฏขึ้นทั่ว เขาถัดตัวไป จนกระทั่งขาทั้งสองเหยียดตรงและคู้ตัวลงครู่หนึ่ง ซบใบหน้าลงกับเข่า และอนุญาตให้ตัวเองเบ้หน้ากรีดร้องอย่างไร้เสียงครั้งหนึ่ง เขาไม่ได้สบถ กระทั่งคําหยาบที่สุดที่เขารู้จักก็ดูจะไม่เพียงพอต่อสถานการณ์
ผู้คุมสอบซึ่งในที่สุดก็ตระหนักว่าเขาลุกไม่ไหวเดินตรงมา ไมล์สลากตัวเองให้พ้นทางผู้สมัครคู่ถัดไป และนั่งรอโบธารีอย่างใจเย็น
เขามีเวลาเหลือเฟือแล้วนี่นา
ไมล์สสรุปว่าเขาไม่ชอบอุปกรณ์ค้ำยันต้านแรงโน้มถ่วงรุ่นใหม่นี้สักนิด แม้จะสวมมันไว้ใต้เสื้อผ้าไม่ให้ใครเห็นได้ก็เถอะ มันทําให้ท่าเดินเขาดูเลื้อยๆพิลึกเหมือนคนเป็นโรคชักกระตุก เขาอยากได้ไม้ค้ำยันบ้านๆแบบเก่า หรือจะให้ดีกว่านั้นก็ขอเป็นไม้เท้าซ่อนดาบอย่างของนาวาเอกคูเดลก้าที่กระทบพื้นดังตุบทุกก้าวและให้ความรู้สึกเหมือนได้แทงศัตรูที่สมควรตาย อย่างโคสโตลิตซ์เป็นต้น เขาหยุดเดินเพื่อทรงตัวใหม่ก่อนจะขึ้นบันไดไปยังคฤหาสน์วอร์โคสิกัน
ผลึกจิ๋วๆ ในหินแกรนิตเก่าคร่ำคร่าระยิบระยับนวลตาท่ามกลางแสงยามเช้าในฤดูใบไม้ร่วง แม้หมอกควันจากโรงงานอุตสาหกรรมจะอบอวลอยู่เหนือนครหลวงวอร์บารร์สุลตาน่าก็ตาม เสียงครึกโครมจากท้ายถนนบ่งบอกว่าคฤหาสน์แบบเดียวกันกําลังถูกทุบทิ้งเพื่อสร้างเป็นอาคารสมัยใหม่ ไมล์สเหลือบมองอาคารฝั่งตรงข้าม เห็นร่างหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่บนดาดฟ้า เชิงเทินเปลี่ยนรูปไป แต่ทหารผู้ระวังระไวก็ยังเฝ้าอยู่
จู่ๆ โบธารีที่ยืนตระหง่านอยู่ข้างเขาอย่างเงียบงันก็ก้มลงหยิบเหรียญที่หล่นอยู่บนพื้น เขาเก็บมันลงในกระเป๋าซ้ายอย่างระมัดระวัง กระเป๋าพิเศษ
ไมล์สยกมุมปากขึ้นนิดหนึ่ง ดวงตาฉายแววขบขัน “ยังสะสมสินเดิมอยู่รึ”
“ขอรับ” โบธารีตอบง่ายๆ เสียงของเขาทุ้มต่ำและเรียบเฉย มีแต่คนที่รู้จักเขามานานจึงจะตีความแววไร้อารมณ์เหล่านั้นออก ไมล์สรู้ทุกความแตกต่างของน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปแม้เพียงน้อยนิด เช่นเดียวกับคนที่จำรายละเอียดห้องของตัวเองได้แม้ในความมืด
“คุณอดออมเก็บเงินให้เอเลน่ามาตั้งแต่ผมจําความได้ สินสอดน่ะตกยุคไปพร้อมกับกองทหารม้าแล้วนะ ให้ตายสิ ทุกวันนี้กระทั่งพวกวอร์ก็ยังแต่งงานกันโดยไม่มีสินสอดเลย นี่ไม่ใช่ยุคโดดเดี่ยวแล้วนะ” ไมล์สพูดล้อๆด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ระวังไม่ให้กระเทือนความหมกมุ่นของโบธารี อย่างไรเสีย โบธารีก็จริงจังกับความคลั่งไคล้งี่เง่าของไมล์สมาตลอด
“กระผมต้องการให้ทุกสิ่งถูกต้องและเหมาะสมสําหรับเธอ”
“ป่านนี้คุณคงเก็บเงินได้พอสู่ขอเกรกอร์ วอร์บาร์รา แล้วมั้ง” ไมล์สนึกถึงสูตรอดออมนิด ๆ หน่อย ๆ นับร้อย ๆ อย่างที่องครักษ์ของเขาปฏิบัติมานานปีเพื่อสะสมสินสอดให้ลูกสาว
“อย่าดึงองค์จักรพรรดิมาล้อเล่นสิขอรับ” โบธารีตัดบทมุกตลกเลื่อนเปื้อนทันควัน ซึ่งก็สมควรแล้ว ไมล์สถอนใจและเริ่มไต่บันไดขึ้นไปอย่างระมัดระวังขาที่ถูกพลาสติกตรึงไว้แข็งเป็นท่อนไม้
ยาแก้ปวดที่เขาได้รับก่อนออกจากโรงพยาบาลทหารเริ่มจะหมดฤทธิ์แล้ว เขารู้สึกเหนื่อยเกินบรรยาย เมื่อคืนเขาไม่ได้นอน แต่ใช้เพียงยาชาเฉพาะที่และนั่งคุยสลับกับเล่าเรื่องตลกให้ศัลยแพทย์ฟังไม่หยุด ขณะที่อีกฝ่ายต่อเศษกระดูกชิ้นเล็กชิ้นน้อยเข้าด้วยกันราวกับจิ๊กซอว์ที่ดื้อด้านเป็นพิเศษ เราแสดงได้สมบทบาทแล้ว ไมล์สปลอบตัวเองให้ใจชื้น แต่เขาก็อยากลงจากเวทีไปสลบเต็มแก่ เหลืออีกไม่กี่องก์เท่านั้น
“คุณเล็งคนแบบไหนไว้ล่ะ” ไมล์สซักอย่างระมัดระวังขณะพักระหว่างทาง
“นายทหารสัญญาบัตร” โบธารีตอบอย่างหนักแน่น
รอยยิ้มของไมล์สเฝื่อนลง นั่นก็เป็นความฝันอันสูงสุดของคุณเหมือนกันหรือจ่า เขาถามในใจ “หวังว่าคงไม่เร่งให้เร็วเกินไปนะ”
โบธารีแค่นหัวเราะ “ก็ต้องไม่ใช่อยู่แล้วขอรับ เธอเพิ่งจะ…” เขานิ่งไป
รอยย่นลึกปรากฏขึ้นที่หว่างตาแคบชิด “เวลาผ่านไป…” เสียงพึมพําของเขาเงียบหายไป
ไมล์สเจรจากับบันไดสําเร็จจนได้และก้าวเข้าไปในคฤหาสน์วอร์โคสิกัน กลั้นใจเตรียมเผชิญหน้าเครือญาติ ดูเหมือนว่าคนแรกจะเป็นท่านแม่ ซึ่งไม่ใช่ปัญหาอะไร แม่ยืนอยู่ที่เชิงบันไดกลางในโถงด้านหน้าแล้วเมื่อคนรับใช้ผู้ควบตําแหน่งทหารยามในเครื่องแบบเปิดประตูให้ เลดี้วอร์โคสิกันเป็นสตรีวัยกลางคนเจ้าของเรือนผมสีแดงเพลิงที่แซมด้วยสีเทาจนจางลงบ้างและความสูงที่พรางน้ำหนักซึ่งเกินมาสองสามกิโลกรัมได้เป็นอย่างดี ท่านหายใจหอบนิดหน่อย คงวิ่งลงบันไดมาเมื่อเห็นเขาใกล้ถึงบ้าน ทั้งสองกอดกันครู่หนึ่ง ดวงตาคู่นั้นเคร่งขรึม แต่ไร้แววกล่าวหาใด ๆ
“ท่านพ่ออยู่บ้านหรือขอรับ” เขาถาม
“เปล่า เช้านี้พ่อกับรัฐมนตรีควินทิลลันอยู่ที่กองบัญชาการ ไปงัดข้อกับฝ่ายเสนาธิการเรื่องงบประมาณแน่ะ เขาฝากความรักมาให้และฝากให้แม่บอกลูก ด้วยว่าจะพยายามกลับมาให้ทันมื้อเที่ยง”
“ท่านพ่อ เอ่อ–ยังไม่ได้เล่าเรื่องเมื่อวานให้ท่านปู่ฟังใช่ไหมขอรับ”
“ยัง–แต่แม่ว่าลูกควรจะให้พ่อเขาบอกไปนะ เมื่อเช้านี้กระอักกระอ่วนจะแย่”
“ผมก็ว่างั้น” เขามองขึ้นบันไดไป ไม่ใช่แค่ขาเป๋ๆของเขาหรอกที่ทําให้มันดูสูงชันนัก เอาเถอะ กลั้นใจให้จบๆไปดีกว่า “อยู่ข้างบนสินะขอรับ”
“อยู่ในห้องเขานั่นละ แต่เมื่อเช้าปู่เขาลงไปเดินเล่นในสวนด้วยนะ แม่ละดีใจ”
“อ้อ” ไมล์สตั้งท่าจะเดินขึ้นบันได
“ลิฟต์” โบธารีเอ่ย
“ไม่เอาน่า แค่ชั้นเดียวเอง”
“หมอบอกว่าท่านต้องทิ้งน้ำหนักลงขาให้น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้”
แม่ของไมล์สตกรางวัลให้โบธารีด้วยรอยยิ้มเห็นด้วย เขาตอบรับด้วยการพึมพําว่า “ขอรับท่านหญิง” อย่างไร้อารมณ์ ไมล์สยักไหล่อย่างเสียไม่ได้แล้วตรงไปหลังบ้านแทน
“ไมล์ส” แม่เรียกเขาไว้ขณะเดินผ่าน “อย่า…คือ ปู่เขาแก่มากแล้วนะ ไม่แข็งแรงด้วย แล้วก็ไม่เคยต้องรักษามารยาทกับใครมาหลายปีแล้ว เข้าใจบริบทของเขาด้วยนะ ได้ไหม”
“ท่านแม่ก็รู้ว่าผมทําอยู่แล้ว” เขายิ้มประชดเพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวเองไม่สะทกสะท้านขนาดไหน ริมฝีปากของแม่หยักขึ้นยิ้มตอบ แต่ดวงตายังเคร่งขรึมอยู่
เขาเจอเอเลน่า โบธารี ออกมาจากห้องของท่านปู่พอดี องครักษ์ของเขาพยักหน้าทักลูกสาวเงียบๆ และเปิดโอกาสให้เขาได้เห็นรอยยิ้มขี้อายของเธอ
ไมล์สสงสัยเป็นครั้งที่ล้านว่าชายอัปลักษณ์คนหนึ่งจะมีลูกสาวที่สวยขนาดนี้ได้อย่างไร ทุกองค์ประกอบของเขาล้วนปรากฏชัดบนใบหน้าของเธอ ทว่าแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก เธออายุสิบแปดปี ร่างสูงเหมือนพ่อ คือสูงถึงหกฟุตเต็มๆ ในขณะที่พ่อสูงหกฟุตครึ่ง ทว่าผู้เป็นพ่อนั้นผอมเกร็งและเคร่งเครียด ขณะที่ลูกสาวผอมเพรียวและสดใส จมูกของเขางุ้ม แต่จมูกเธอโด่งงาม ใบหน้าของเขาแคบเกินไป ขณะที่เธอดูเหมือนสุนัขล่าเนื้อพันธุ์ดีอย่างบอร์ซอยหรือเกรย์ฮาวนด์ อาจจะเป็นดวงตากระมังที่ทําให้แตกต่าง ดวงตาของเธอเป็นสีดําเย้ายวน ระวังระไว แต่ไม่ได้ปราดไปมาตลอดเวลาอย่างเป็นพ่อ และไร้แววจับจ้องเย็นชา หรือไม่ก็ที่เรือนผม ผู้เป็นพ่อไว้ผมสีเทาสั้นเกรียนอย่างทหารที่ติดเป็นนิสัย ขณะที่เรือนผมสีดําของเธอยาวสลวยและดําขลับ ราวกับการ์กอยล์และนักบุญที่สลักขึ้นด้วยฝีมือช่างคนเดียวกัน ประจันหน้ากันอยู่ที่ทางเข้าวิหารโบราณ
ไมล์สสั่นศีรษะให้ตัวเองตื่นจากภวังค์ เธอสบตาเขาครู่หนึ่งและรอยยิ้ม ก็เลือนหาย เขายืดตัวตรงจากท่าห่อไหล่อย่างอ่อนล้าและฝืนยิ้มออกไป หวังจะได้ยิ้มจริงใจของหญิงสาวตอบแทนมา อย่าเร่งให้เร็วเกินไปนะจ่า…
“โอ ดีแล้ว ฉันดีใจจริงๆที่เธอมา” เธอทักเขา “เช้านี้แย่มากเลย”
“ปู่อารมณ์บูดรึ”
“เปล่าเลย ร่าเริงต่างหาก เล่นเกมสแตรต-โอกับฉัน แต่ไม่สนใจเกมสักนิด รู้ไหมว่าฉันเกือบชนะท่านเชียวนะ เล่าเรื่องสมัยสงครามให้ฟังและสงสัยว่าเธอเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าท่านมีแผนที่สนามสอบ ก็คงเอาหมุดปักบอกเส้นทางในจินตนาการของเธอไปแล้วละ…ฉันไม่ต้องอยู่ด้วยใช่ไหม”
“ไม่ต้องอยุ่แล้ว”
เอเลน่ายิ้มอย่างโล่งอกก่อนจะเดินจากไป แต่ก็เอี้ยวคอมามองอย่างไม่สบายใจคร้ังหนึ่ง
ไมล์สสูดลมหายใจและก้าวเข้าไปในห้องชั้นในของพลเอกเคานต์ปิออตร์ วอร์โคสิกัน