ตัวอย่าง “ลาสต์โคโลนี ที่มั่นสุดท้าย” (ครึ่งหลัง)

นี่ทำให้ผมกับเจนต้องสบตากันอีกครั้ง สมาชิกซีดีเอฟมีผิวหนังสีเขียว ซึ่งเป็นผลมาจากการตัดแต่งคลอโรฟิลล์เพื่อสร้างพลังงานในการต่อสู้ ทั้งเจนและผมต่างเคยตัวเขียวกันมาแล้ว ผมได้กลับมามีสีผิวแบบดั้งเดิม ส่วนเจนได้รับอนุญาตให้เลือกสีผิวมาตรฐานตอนเธอย้ายร่าง

“เขาบอกไหมว่าเขาต้องการอะไร” เจนถามโซอี้

“ไม่ได้บอกค่ะ” โซอี้ตอบ “และหนูก็ไม่ได้ถาม แค่คิดว่าจะวิ่งมาเตือนล่วงหน้าก่อน ตอนนี้เขาอยู่ที่เฉลียงหน้าบ้านแน่ะ”

“บางทีป่านนี้อาจจะแอบเข้าไปดูโน่นดูนี่ในบ้านแล้ว” ผมพูดขึ้น

“ไม่น่าจะใช่นะคะ” โซอี้บอก “เพราะหนูทิ้งฮิกคอรีกับดิกคอรีไว้คอยเฝ้าเขา”

ผมฉีกยิ้ม “งี้เขาคงไปไหนไม่ได้แน่นอน”

“หนูก็คิดแบบนั้นล่ะค่ะ” โซอี้บอก

“หนูนี่ฉลาดเกินวัยทีเดียวนะ ยัยลูกสาววัยรุ่น” ผมบอก

“ก็ต้องตามพ่อให้ทันนี่คะ คุณพ่อวัยเก้าสิบ” โซอี้สวน จากนั้นก็วิ่งกลับบ้านโดยมีบาบาร์วิ่งเตาะแตะตามหลัง

“ร้ายไม่เบา” ผมพูดกับเจน “คงจะได้มาจากคุณ”

“เธอเป็นลูกบุญธรรมนะ” เจนว่า “แถมฉันยังไม่ใช่คนที่เป็นจอมแสบประจำครอบครัวนี้”

“นั่นมันเรื่องรายละเอียด” ผมพูดพร้อมจับมือเธอ “ไปกันเถอะ ไปดูกันว่าป่านนี้แขกของเราจะกลัวจนหัวหดไปถึงไหนแล้ว”

เราเจอแขกคนนั้นนั่งอยู่บนชิงช้าหน้าบ้าน โดยมีชาวโอบินสองคนจับตาดูอย่างใกล้ชิดและเงียบเชียบ ผมจำเขาได้ทันที

“นายพลไรบิกกี” ผมเอ่ยทัก “ไม่อยากจะเชื่อเลย”

“สวัสดี พันตรี” ไรบิกกีเรียกผมด้วยยศล่าสุด จากนั้นก็ชี้ไปที่ชาวโอบิน “ตั้งแต่จากกันคราวที่แล้ว คุณมีเพื่อนใหม่ที่น่าสนใจทีเดียว”

“ฮิกคอรีกับดิกคอรี” ผมพูด “พวกเขาเป็นผู้ติดตามของลูกสาวผม นิสัยดีเลิศ ยกเว้นถ้าคุณเป็นภัยคุกคามต่อเธอ”

“ถ้างั้นมันจะเกิดอะไรขึ้น” ไรบิกกีถาม

“ก็หลากหลายนะ” ผมตอบ “แต่โดยมากแล้วจะรวดเร็ว”

“วิเศษ” พอไรบิกกีพูดจบ ผมก็บอกชาวโอบินให้ไปอยู่กับโซอี้

“ขอบคุณ” ไรบิกกีเอ่ยขึ้น “พวกโอบินทำให้ผมประสาทเสีย”

“นั่นล่ะประเด็น” เจนว่า

“ผมรู้” ไรบิกกีพูดต่อ “ถ้าไม่รังเกียจ ผมขอถามหน่อยว่าทำไมลูกสาวของพวกคุณถึงได้มีชาวโอบินมาเป็นบอดี้การ์ดให้”

“ไม่ใช่บอดี้การ์ด แต่เป็นผู้ติดตามต่างหาก” เจนอธิบาย “โซอี้เป็นลูกสาวที่พวกเรารับมาเลี้ยง พ่อแท้ๆของเธอคือชาร์ลส์ บูติน” นี่ทำให้ไรบิกกีต้องเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง เขายศสูงพอที่จะรู้ข้อมูลเกี่ยวกับบูติน “ชาวโอบินเทิดทูนบูติน แต่บูตินตายไปแล้ว ชาวโอบินก็เลยมีความปรารถนาที่จะรู้จักลูกสาวของเขา ก็เลยส่งสองคนนี้มาอยู่กับเธอ”

“แล้วเธอโอเคกับเรื่องนี้เหรอ” ไรบิกกีถาม

“เธอโตมาพร้อมพี่เลี้ยงและผู้คุ้มครองชาวโอบินอยู่แล้ว” เจนบอก “เธออยู่กับชาวโอบินได้สบายมาก”

“แล้วพวกคุณโอเคกับเรื่องนี้เหรอ” ไรบิกกีถามอีก

“พวกเขาช่วยคุ้มครองดูแลโซอี้” ผมพูดขึ้น “แถมยังช่วยงานแถวนี้บ้าง แถมนี่เป็นเงื่อนไขข้อหนึ่งในสนธิสัญญาสันติภาพที่สหภาพอาณานิคมทำกับชาวโอบิน ถือเป็นค่าตอบแทนราคาถูกมาก แลกกับการที่เราได้ชาวโอบินมาเป็นพันธมิตร”

“ก็จริงทีเดียว” ไรบิกกีลุกขึ้นยืน “ฟังนะผู้พัน ผมมีข้อเสนอมาให้คุณ” เขาพยักหน้าไปทางเจน “ความจริงแล้วเป็นข้อเสนอสำหรับพวกคุณทั้งสองคน”

“ข้อเสนออะไรล่ะครับ” ผมถาม

ไรบิกกีพยักพเยิดไปทางตัวบ้าน ที่ซึ่งฮิกคอรีและดิกคอรีเพิ่งจะเดินเข้าไป “ผมขอไปพูดให้ห่างจากสองคนนั้นหน่อยจะดีกว่า ถ้าพวกคุณคิดเหมือนกัน แถวนี้มีที่ที่เราจะคุยกันอย่างเป็นส่วนตัวได้ไหม”

ผมหันไปมองเจน เธอฉีกยิ้มบางๆ “รู้จักอยู่ที่หนึ่งพอดีเลย”
“แถวนี้เนี่ยนะ?” นายพลไรบิกกีถามขณะที่อยู่ดีๆเราก็มาหยุดกึกอยู่กลางทุ่ง

“เมื่อกี้คุณถามหาที่ที่เราจะคุยกันได้อย่างเป็นส่วนตัว” ผมว่า “และตอนนี้มันก็มีต้นข้าวกั้นกลางระหว่างเรากับหูคู่อื่นๆคิดเป็นพื้นที่อย่างน้อยก็ห้าเอเคอร์ ไม่ว่าจะหูมนุษย์หรือหูชาวโอบินก็ตาม ขอต้อนรับสู่ความเป็นส่วนตัวในสไตล์อาณานิคม”

“นี่มันต้นข้าวอะไร” นายพลไรบิกกีถามพร้อมกับเด็ดต้นหนึ่งออกมา

“ข้าวฟ่าง” เจนที่ยืนอยู่ข้างผมเป็นคนตอบ โดยมีบาบาร์นั่งเกาหูแกรกๆอยู่ใกล้ๆ

“ฟังดูคุ้นๆ” ไรบิกกีว่า “แต่ผมจำไม่ได้เลยว่าเคยเห็นของจริงมาก่อน”

“มันเป็นพืชหลักของที่นี่” ผมอธิบาย “ดีตรงที่ทนร้อนกับทนแล้งได้ แถวนี้อากาศอาจร้อนได้มากช่วงฤดูร้อน คนที่นี่เอามันมาทำขนมปัง เรียกว่าบากรี แต่ก็ใช้ทำอย่างอื่นด้วย”

“บากรี” ไรบิกกีชี้ไปทางตัวเมือง “งั้นคนส่วนใหญ่ที่นี่ก็มาจากอินเดียน่ะสิ”

“แค่บางคน” ผมบอก “เพราะพวกเขาส่วนใหญ่เกิดที่นี่ เฉพาะหมู่บ้านนี้ก็มีอายุหกสิบปีแล้ว ที่ดาวฮักเคิลเบอร์รี่ตอนนี้ การขยายอาณานิคมส่วนใหญ่เกิดขึ้นในทวีปเคลเมนส์ พวกเขาเพิ่งจะเปิดทวีปตอนพวกเรามาถึงพอดี”

“งั้นก็ไม่มีความตึงเครียดเรื่องสงครามภูมิภาคน่ะสิ” ไรบิกกีเอ่ย “ด้วยความที่คุณเป็นอเมริกัน และพวกเขาเป็นอินเดีย”

“ก็ไม่เคยมีใครพูดถึงนะ” ผมบอก “คนที่นี่เป็นเหมือนผู้อพยพกันทั้งนั้น พวกเขามองว่าตัวเองเป็นชาวฮักเคิลเบอร์รี่มากกว่าที่จะเป็นชาวอินเดีย พอถึงคนรุ่นถัดไป เรื่องพวกนี้ก็ไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว นอกจากนั้นเจนก็ไม่ใช่คนอเมริกันอีกด้วย ถ้าจะมีใครมองว่าพวกเราเป็นอะไร พวกเขาก็มองว่าเราเป็นทหารเก่ามากกว่า ตอนมาถึงใหม่ๆพวกเราตกเป็นเป้าสนใจ แต่ตอนนี้เราเป็นแค่จอห์นกับเจนผู้มีฟาร์มอยู่สุดถนน”

ไรบิกกีมองดูทุ่งข้าวอีกครั้ง “ผมล่ะแปลกใจจริงๆที่คุณผันตัวมาทำฟาร์ม” เขาว่า “พวกคุณสองคนมีงานจริงๆจังๆทำด้วย”

“การทำฟาร์มถือเป็นงานจริงจังนะ” เจนพูดขึ้น “เพื่อนบ้านแทบทุกคนทำกันหมด มันดีสำหรับเรา เพราะมันช่วยให้เราเข้าใจพวกเขา และเข้าใจสิ่งที่พวกเขาต้องการจากเรา”

“เมื่อกี้ผมก็ไม่ได้หมายความในแง่ลบ” ไรบิกกีบอก

“ไม่ถือสา” ผมดึงตัวเองกลับสู่การสนทนา ผมผายมือไปยังทุ่งกว้าง “เรามีที่ดินประมาณสี่สิบเอเคอร์ ก็ไม่ได้เยอะอะไร…ไม่เยอะพอที่จะดูดเงินไปจากเกษตรกรคนอื่นๆ…แต่เยอะพอที่จะเป็นหลักฐานว่าปัญหาของหมู่บ้านนิวโกอาก็คือปัญหาของเรา เราสองคนพยายามหนักมากที่จะเป็นชาวนิวโกอาและชาวฮักเคิลเบอร์รี่อย่างเต็มตัว”

นายพลไรบิกกีพยักหน้าและมองดูต้นข้าวฟ่างในมือ อย่างที่โซอี้พูดไว้ เขาตัวเขียว หน้าตาดี และหนุ่มแน่น อย่างน้อยก็ดูหนุ่มแน่น ซึ่งต้องขอบคุณร่างมาตรฐานซีดีเอฟซึ่งตราบเท่าที่เขายังคงใช้มันอยู่ เขาจะดูเหมือนคนอายุยี่สิบสามตลอดไป แม้ว่าตอนนี้อายุจริงของเขาจะปาเข้าไปร้อยปีเศษๆแล้วก็ตาม เขาดูเด็กกว่าผมเสียอีกทั้งที่ผมเป็นรุ่นน้องเขาประมาณสิบห้าปีหรือมากกว่านั้น ย้อนกลับไปตอนปลดประจำการ ผมได้เปลี่ยนจากร่างมาตรฐานซีดีเอฟไปใช้ร่างกายปกติที่ไม่ได้รับการดัดแปลง โดยอิงจากพันธุกรรมของผมเอง ตอนนี้ผมดูเหมือนคนอายุสามสิบเป็นอย่างต่ำ แต่อันนี้ผมรับได้

ไรบิกกีเป็นผู้บังคับบัญชาของผมตอนที่ผมปลดประจำการ แต่เขากับผมรู้จักกันมานานแล้ว ผมได้เจอเขาในวันแรกที่ออกรบ ย้อนกลับไปตอนที่เขาเป็นพันโทและผมเป็นพลทหาร เขาใช้คำว่าไอ้ลูกชายกับผมด้วยความที่ผมอายุน้อยกว่า แต่ตอนนั้นผมก็อายุเจ็ดสิบห้าแล้วนะ

นี่คือปัญหาข้อหนึ่งของกองกำลังป้องกันอาณานิคม คือการตัดแต่งร่างกายทั้งหลายทำให้คุณงงเรื่องอายุไปหมด ตอนนี้ผมอยู่ในวัยเก้าสิบแล้ว ส่วนเจนซึ่งถือกำเนิดในร่างผู้ใหญ่ด้วยความที่เธอเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังพิเศษแห่งซีดีเอฟมีอายุประมาณสิบหกปี ถ้าเก็บเรื่องพวกนี้มาคิด คุณจะปวดหัวเปล่าๆ

“คุณบอกมาได้แล้วว่าคุณมาที่นี่ทำไม ท่านนายพล” เจนพูดขึ้น เจ็ดปีแห่งการอยู่ร่วมกับมนุษย์จริงๆตามธรรมชาติไม่ได้ลบเลือนนิสัยพูดตรงโผงผางทะลุกลางปล้องของเธอไปเลยแม้แต่น้อย

ไรบิกกียิ้มแห้งๆพร้อมกับโยนต้นข้าวทิ้ง “ตกลง” เขาเริ่ม “หลังจากที่คุณปลดประจำการนะ เพอร์รีย์ ผมก็ได้รับการเลื่อนขั้นและย้ายแผนก ตอนนี้ผมอยู่กระทรวงการจัดตั้งอาณานิคม ซึ่งมีหน้าที่ก่อตั้งและให้การสนับสนุนอาณานิคมแห่งใหม่”

“แต่คุณยังอยู่กับซีดีเอฟอยู่นี่” ผมตั้งข้อสังเกต “ดูได้จากการที่คุณยังตัวเขียวอยู่ ผมนึกว่าสหภาพอาณานิคมแบ่งฝ่ายพลเรือนออกจากฝ่ายทหารอย่างชัดเจนไม่ใช่เหรอ”

“ผมเป็นผู้ประสานงาน” ไรบิกกีว่า “คอยเป็นตัวกลางบริหารจัดการทั้งสองฝ่าย ไม่ได้สนุกอะไรเลยอย่างที่คุณคงนึกภาพออก”

“ผมขอแสดงความเห็นใจ”

“ขอบคุณ พันตรี” ไรบิกกีพูด หลายปีมาแล้วที่ไม่มีคนเรียกผมด้วยชื่อยศ “ผมซึ้งน้ำใจจริงๆ และที่ผมมาที่นี่ก็เพราะผมอยากรู้ว่าคุณ…หมายถึงพวกคุณทั้งคู่…จะช่วยงานผมหน่อยได้ไหม”

“งานแบบไหน” เจนถาม

ไรบิกกีหันไปทางเจน “เป็นผู้นำของอาณานิคมแห่งใหม่”

เจนหันมามองผม และผมก็ดูออกเลยว่าเธอเกลียดความคิดนี้เรียบร้อยแล้ว “แล้วนี่มันไม่ใช่งานโดยตรงของกระทรวงการจัดตั้งอาณานิคมเหรอ” ผมถาม “กระทรวงนี้ควรจะเต็มไปด้วยคนซึ่งมีหน้าที่ไปเป็นผู้นำอาณานิคมสิ”

“ไม่ใช่ครั้งนี้” ไรบิกกีว่า “อาณานิคมแห่งนี้มันไม่เหมือนแห่งอื่น”

“ยังไง?” เจนสงสัย

“สหภาพอาณานิคมจัดหาชาวอาณานิคมจากโลก” ไรบิกกีขยายความ “แต่ในช่วงสองสามปีมานี้ อาณานิคมแห่งต่างๆ…หมายถึงอาณานิคมจัดตั้ง อย่างเช่นฟีนิกซ์ เอลลีเซียม และเกียวโต…ก็ได้กดดันซียูให้อนุญาตให้คนของพวกเขาไปเริ่มต้นอาณานิคมแห่งใหม่กันเอง คนจากดาวพวกนั้นเคยพยายามก่อตั้งอาณานิคมเถื่อนมาก่อน แต่คุณก็รู้ว่าอาณานิคมเถื่อนเหล่านั้นมักลงเอยยังไง”

ผมพยักหน้า อาณานิคมเถื่อนถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายและไม่ได้รับอนุญาต แต่ซียูก็มักทำเป็นมองไม่เห็น ด้วยเหตุผลที่ว่าคนเหล่านั้นอาจสร้างปัญหาได้มากถ้าอยู่บ้าน เพราะฉะนั้นปล่อยไปจะเป็นการดีกว่า แต่อาณานิคมเถื่อนเหล่านั้นก็ถือว่าถูกตัดหางปล่อยวัด นอกเสียจากว่าจะมีใครสักคนในนั้นเป็นเด็กเส้นของผู้ใหญ่ในรัฐบาล…ซีดีเอฟจะไม่มีวันตอบรับเมื่อพวกเขาร้องขอความช่วยเหลือ อัตรารอดของอาณานิคมเถื่อนถือว่าต่ำจนน่ากลัว ส่วนใหญ่อยู่ได้ไม่ถึงหกเดือนด้วยซ้ำ ปกติแล้วจะถูกจัดการโดยสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่นที่พยายามขยายอาณานิคมเช่นกัน นี่ไม่ใช่เอกภพที่ใจกว้างนัก

เมื่อไรบิกกีเห็นว่าผมเข้าใจ เขาก็พูดต่อ “ถ้าเลือกได้ ซียูก็อยากให้อาณานิคมเหล่านั้นสนใจแต่เรื่องของตัวเองมากกว่า อย่างไรก็ดี มันดันกลายเป็นประเด็นทางการเมืองที่ซียูไม่สามารถปัดสวะได้อีกต่อไป กระทรวงดีโอซีเลยเสนอให้เปิดดาวเคราะห์สักดวงเพื่อรองรับชาวอาณานิคมรุ่นสอง คุณคงเดาตอนต่อไปได้แล้วสินะ”

“อาณานิคมแห่งต่างๆคงทะเลาะกันเพื่อแย่งสิทธิ์ในการส่งคนของตัวเองไปยังดาวใหม่ดวงนั้น” ผมพูด

“ใครก็ได้เอาซิการ์ให้ชายคนนี้หน่อย” ไรบิกกีว่า “สุดท้ายดีโอซีก็เลยใช้มุกโซโลมอนโดยบอกว่าทุกฝ่ายจะได้รับโควต้าในการส่งคนไปเป็นชาวอาณานิคมระลอกแรก ตอนนี้เราก็เลยมีอาณานิคมตั้งต้นแห่งหนึ่งซึ่งมีประชากรประมาณสองพันห้าร้อยคน โดยที่แต่ละสองร้อยห้าสิบคนมาจากอาณานิคมที่แตกต่างกันสิบแห่ง แต่ที่สำคัญคือเราไม่มีคนที่จะยกขึ้นมาเป็นผู้นำของพวกเขา เพราะไม่มีอาณานิคมแห่งไหนอยากได้คนของอาณานิคมแห่งอื่นมาเป็นหัวหน้า”

“แต่อาณานิคมทั้งหมดมีมากกว่าสิบแห่งนี่นา” ผมบอก “คุณจะไปเกณฑ์ผู้นำสักคนมาจากอาณานิคมเหล่านั้นก็ได้นี่”

“มันก็คงได้ในทางทฤษฎี” ไรบิกกียอมรับ “แต่ในเอกภพจริงๆ อาณานิคมแห่งอื่นๆก็หัวเสียมากที่พวกเขาไม่ได้โควต้าในการส่งคนของพวกเขาไปอาณานิคมแห่งใหม่ พวกเรารับปากพวกเขาว่าถ้าอาณานิคมแห่งนี้ไปรอด เราจะพิจารณาเรื่องการเปิดโลกใหม่ใบอื่นๆเพิ่มเติม แต่สำหรับตอนนี้ อะไรๆมันเละเทะไปหมดโดยที่ไม่มีใครยอมใคร”

“แล้วใครกันคือไอ้หน้าโง่ที่เสนอแผนการนี้ตั้งแต่แรก” เจนถาม

“ปรากฏว่าไอ้หน้าโง่คนนั้นก็คือผมเอง” ไรบิกกีสารภาพ

“ทำได้ดี” เจนประชด นี่ทำให้ผมนึกถึงข้อดีอย่างหนึ่งที่ว่าตอนนี้เธอไม่ได้เป็นทหารแล้ว

“ขอบคุณ สันติบาลเซแกน” นายพลไรบิกกีพูด “ผมชื่นชมความจริงใจของคุณ เห็นได้ชัดว่าแผนการนี้มีแง่มุมหลายอย่างที่ผมไม่ได้คาดหมายเอาไว้ และนี่ล่ะคือเหตุผลที่ผมมาที่นี่”

“แต่ข้อบกพร่องในแผนการของคุณคืออย่างนี้…คือนอกจากเราสองคนจะไม่มีความรู้ในการบริหารอาณานิคมตั้งต้นเลยแม้แต่น้อย…ตอนนี้เราสองคนเองก็เป็นชาวอาณานิคมไปแล้วเช่นกัน” ผมบอก “เราอยู่ที่นี่มาได้เกือบแปดปีแล้ว”

“แต่เมื่อกี้คุณก็พูดเองนี่ว่าพวกคุณคืออดีตทหาร” ไรบิกกีว่า “อดีตทหารมีหมวดหมู่ของมันเอง คุณไม่ใช่ชาวฮักเคิลเบอร์รี่แท้ๆ คุณมาจากโลก ส่วนเจนก็เป็นอดีตทหารกองกำลังพิเศษ ซึ่งหมายความว่าเธอไม่ได้มาจากไหนเลย อย่าถือสานะ” เขาพูดกับเจน

“ก็ยังติดปัญหาอยู่ดีว่าเราทั้งคู่ไม่เคยบริหารอาณานิคมตั้งต้นมาก่อน” ผมบอก “ย้อนกลับไปตอนนั้น ตอนที่ผมออกเดินสายพีอาร์ตามอาณานิคมแห่งต่างๆ ผมเคยไปอาณานิคมตั้งต้นที่ออร์ตัน คนที่นั่นไม่เคยหยุดทำงานเลย อยู่ดีๆคุณจะส่งคนที่ไม่ผ่านการฝึกฝนไปอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นไม่ได้หรอกนะ”

“แต่คุณผ่านการฝึกฝนมาแล้ว” ไรบิกกีแย้ง “พวกคุณทั้งสองคนเคยเป็นนายทหารอาวุโสมาก่อนนะ พระเจ้าเถอะเพอร์รีย์ ยศของคุณคือพันตรีด้วยซ้ำ คุณเป็นผู้บังคับบัญชาทหารตั้งสามพันนายในกรมกอง เยอะกว่าจำนวนประชากรในอาณานิคมตั้งต้นอีก”

“แต่อาณานิคมไม่ใช่กรมกอง” ผมบอก

“ก็ไม่ใช่จริงๆ” ไรบิกกีเห็นพ้อง “แต่มันก็อาศัยทักษะแบบเดียวกันนั่นล่ะ และเนื่องจากคุณปลดประจำการไปแล้ว และพวกคุณทั้งคู่ก็ทำงานในฝ่ายบริหารของอาณานิคม คุณเป็นผู้ตรวจการ…คุณรู้ระบบการทำงานของรัฐบาลอาณานิคม รู้วิธีดำเนินการในเรื่องต่างๆ ส่วนภรรยาของคุณก็เป็นสันติบาลผู้ดูแลความสงบเรียบร้อย พวกคุณทั้งสองคนมีทักษะที่จำเป็นครบถ้วนแล้วน่า ผมไม่ได้จับฉลากชื่อคุณขึ้นมานะผู้พัน มันมีเหตุผลที่ทำให้ผมนึกถึงคุณ ตอนนี้พวกคุณมีความพร้อมราวแปดสิบห้าเปอร์เซ็นต์แล้วล่ะ และเราก็จะเตรียมความพร้อมให้จนสุดทาง ก่อนที่ชาวอาณานิคมจะมุ่งหน้าสู่ดาวโรอาโน้ก นั่นคือชื่อที่เราเลือกไว้”

“แต่พวกเรามีชีวิตอยู่ที่นี่” เจนพูดขึ้น “มีงาน มีภาระรับผิดชอบ แถมยังมีลูกสาวที่มีชีวิตอยู่ที่นี่เช่นกัน คุณกำลังลอยหน้าลอยตามาขอให้พวกเราย้ายถิ่นฐานเพื่อแก้วิกฤติการเมืองเล็กๆให้พวกคุณ”

“คือผมต้องขอโทษด้วยเรื่องลอยหน้าลอยตา” ไรบิกกีบอก “ปกติพวกคุณจะได้รับคำขอแบบนี้ผ่านทางฝ่ายการทูตของอาณานิคม พร้อมด้วยเอกสารปึกหนาเตอะ แต่บังเอิญว่าผมมีธุระที่ฮักเคิลเบอร์รี่พอดี ซึ่งเป็นเรื่องอื่นโดยสิ้นเชิง เลยกะว่าจะยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เอาจริงๆผมไม่ได้คิดจะนำเรื่องมาเสนอพวกคุณกลางทุ่งข้าวฟ่างแบบนี้หรอกนะ”

“ก็ได้” เจนว่า

“ส่วนเรื่องวิกฤติการเมืองเล็กๆน่ะ คุณคิดผิด” ไรบิกกีชี้แจงต่อ “มันเป็นวิกฤติขนาดกลางที่กำลังจะยกระดับเป็นขนาดใหญ่ นี่มันเป็นมากกว่าอาณานิคมมนุษย์อีกแห่งหนึ่ง รัฐบาลท้องถิ่นของดาวเคราะห์แต่ละดวงกับพวกสื่อมวลชนได้ปั่นเรื่องนี้จนมันกลายเป็นอีเวนต์การจัดตั้งอาณานิคมครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่มนุษย์จากโลกมาในครั้งแรก มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก…เชื่อผมเถอะ…แต่ ณ จุดนี้มันไม่สำคัญแล้ว มันกลายเป็นละครข่าวและเรื่องปวดหัวทางการเมือง ดีโอซีเป็นฝ่ายที่ต้องมาคอยแก้ข่าว อาณานิคมแห่งนี้กำลังจะหลุดมือเราไปเพราะมันมีหลายฝ่ายเหลือเกินที่เข้ามามีเอี่ยว เราต้องกลับมาถือไพ่เหนือกว่าให้ได้”

“งั้นมันก็เป็นเรื่องการเมืองจริงๆ” ผมเอ่ยขึ้น

“ไม่ใช่” ไรบิกกีปฏิเสธ “คุณเข้าใจความหมายของผมผิด ดีโอซีไม่ได้อยากกลับมาถือไพ่เหนือกว่าเพราะกลัวการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง แต่เป็นเพราะนี่คืออาณานิคมมนุษย์ พวกคุณรู้ดีว่าข้างนอกนั่นมันเป็นยังไง อาณานิคมถ้าไม่รอดก็ตาย…ชาวอาณานิคมถ้าไม่รอดก็ตาย…ทั้งหมดทั้งมวลขึ้นอยู่กับว่าพวกเราเตรียมความพร้อมและปกป้องพวกเขาได้ดีแค่ไหน งานของดีโอซีคือการทำให้พวกเขาพร้อมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนการจัดตั้งอาณานิคม งานของซีดีเอฟคือการปกป้องดูแลจนกว่าพวกเขาจะลงหลักปักฐานได้อย่างมั่นคง ถ้ามีฝั่งไหนของสมการล่ม อาณานิคมก็จบเห่

“สำหรับตอนนี้ สมการทางฝั่งของกระทรวงไปไม่รอดเพราะเราไม่สามารถหาผู้นำให้อาณานิคมได้ และทุกคนต่างพยายามกีดกันใครก็ตามที่จะมาเติมเต็มสุญญากาศนี้ เราเหลือเวลาน้อยเต็มทีที่จะทำให้มันไปรอด โรอาโน้กจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน คำถามคือเราจะทำให้มันเกิดขึ้นอย่างถูกต้องได้หรือไม่ ถ้าไม่…ถ้าโรอาโน้กพังทลาย…มันจะต้องมีคนชดใช้อย่างมหาศาล เพราะงั้นเราควรทำให้มันถูกต้องให้ได้จะดีกว่า”

“ถ้านี่เป็นเผือกร้อนทางการเมืองจริงๆ ผมก็ไม่เห็นประโยชน์อะไรเลยกับการจับพวกเราโยนเข้าไปให้มันยุ่งกว่าเดิม” ผมแย้ง “ไม่มีอะไรรับประกันว่าคนอื่นๆจะพอใจกับพวกเรา”

“อย่างที่บอก ผมไม่ได้จับฉลากชื่อคุณขึ้นมานะ” ไรบิกกีว่า “พวกเราที่กรมช่วยกันเลือกคนที่ดูมีศักยภาพ คนที่น่าจะเวิร์กสำหรับเรา และน่าจะเวิร์กสำหรับซีดีเอฟ เราคิดว่าถ้าทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันที่ใคร รัฐบาลอาณานิคมก็น่าจะยอมรับคนๆนั้นได้ด้วย และคุณสองคนก็อยู่ในลิสต์”

“อยู่ตรงไหนในลิสต์” เจนถาม

“กลางๆ” ไรบิกกีตอบ “ขอโทษด้วย แต่ตัวเลือกอื่นไม่เวิร์ก”

“อืม งั้นก็ถือเป็นเกียรตินะที่พวกเราได้รับการเสนอชื่อ” ผมพูด

ไรบิกกียิ้ม “ผมไม่เคยชอบคำประชดประชันของคุณเลย เพอร์รีย์” เขาว่า “ผมรู้ดีว่าผมโยนทุกอย่างให้คุณในโครมเดียว ก็ไม่คาดหวังว่าคุณจะให้คำตอบตอนนี้เลยหรอกนะ ผมมีเอกสารทั้งหมดอยู่นี่แล้ว” เขาเคาะที่ขมับของตัวเอง บอกเป็นนัยว่าเขามีข้อมูลทุกอย่างอยู่ในเบรนพาว “เพราะงั้นถ้าคุณมีเครื่องพีดีเอ ผมจะส่งต่อไปให้คุณเลย ว่างเมื่อไหร่ค่อยอ่านดู ตราบเท่าที่ไม่นานเกินหนึ่งสัปดาห์ตามเวลามาตรฐาน”

“คุณกำลังขอให้เราเดินหนีไปจากทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่” เจนพูดขึ้นอีกครั้ง

“ใช่” ไรบิกกียอมรับ “ผมกำลังขออย่างนั้นจริง และผมก็วิงวอนต่อสำนึกในหน้าที่ของคุณด้วย เพราะผมรู้ว่าพวกคุณมี สหภาพอาณานิคมต้องการคนที่เฉลียวฉลาด มีความสามารถ และมีประสบการณ์เพื่อมาช่วยจัดตั้งอาณานิคมนี้ คุณสองคนมีคุณสมบัติครบถ้วน และสิ่งที่ผมขอก็มีความสำคัญกว่าสิ่งที่พวกคุณกำลังทำกันอยู่ที่นี่ งานของพวกคุณที่นี่ให้คนอื่นทำได้ ถ้าพวกคุณไป มันจะมีคนอื่นมารับช่วงแทน บางทีอาจไม่เก่งเท่าพวกคุณ แต่อย่างน้อยก็เก่งพอ แต่สิ่งที่ผมขอให้พวกคุณทำเพื่ออาณานิคมแห่งใหม่ไม่ใช่อะไรที่จะหาใครคนอื่นมาทำได้”

“เมื่อกี้คุณบอกว่าพวกเราอยู่ในลำดับกลางๆของลิสต์” ผมว่า

“ลิสต์มันไม่ได้ยาวนักหรอก” ไรบิกกีบอก “เลยจากพวกคุณไปก็ไม่ค่อยมีใครให้เลือกแล้ว” เขาหันกลับไปหาเจน “ฟังนะ เซแกน ผมดูออกว่างานนี้มันยากที่จะเกลี้ยกล่อมคุณ เพราะงั้นผมจะทำความตกลงกับคุณ อาณานิคมแห่งนี้เป็นอาณานิคมตั้งต้น หมายความว่าจะต้องมีคนกลุ่มแรกเข้าไปอยู่เป็นเวลาสองหรือสามปีเพื่อเตรียมสถานที่ให้พร้อมสำหรับคนกลุ่มต่อไป หลังจากระลอกสองเข้าไปแล้ว อะไรๆอาจจะลงตัวพอให้คุณ เพอร์รีย์ และลูกสาวกลับมาที่นี่ได้ถ้าพวกคุณต้องการ ดีโอซีรับประกันว่าพวกคุณจะมีบ้านหลังเดิมและตำแหน่งหน้าที่เดิมรออยู่ นรกเถอะ เผลอๆเราจะส่งคนมาช่วยพวกคุณเกี่ยวข้าวด้วยซ้ำ”

“อย่ามาทำเป็นโอ๋ฉันหน่อยเลย ท่านนายพล” เจนว่า

“ผมเปล่า” ไรบิกกีบอก “ข้อเสนอนี้เป็นของจริง เซแกน วิถีชีวิตของคุณที่นี่ ทุกส่วนของมัน มันจะรอคุณกลับมา คุณจะไม่เสียอะไรไปเลย แต่ผมต้องการพวกคุณสองคนเดี๋ยวนี้ กระทรวงดีโอซีจะตอบแทนคุณอย่างคุ้มค่า พวกคุณจะได้ชีวิตแบบนี้คืน แถมยังจะมีส่วนช่วยให้อาณานิคมโรอาโน้กอยู่รอดอีกด้วย ลองเก็บไปคิดดูนะ ขอแค่รีบตัดสินใจหน่อย”
ผมตื่นขึ้นมาโดยไม่มีเจนอยู่ข้างๆ ผมไปเจอเธอยืนอยู่บนถนนหน้าบ้าน เงยหน้ามองดวงดารา

“เดี๋ยวก็โดนรถชนหรอก มายืนอยู่กลางถนนแบบนี้” ผมเดินเข้าไปข้างหลังเจน เอาสองมือวางบนไหล่เธอ

“ไม่มีอะไรวิ่งมาชนหรอกน่า” เจนใช้มือซ้ายจับมือผม “ต่อให้เป็นตอนกลางวันก็แทบไม่มีอะไรวิ่งไปมา ดูนั่นสิ” เธอใช้นิ้วมือขวาชี้ดวงดาว ไล่ไปทีละดวงจนกลายเป็นหมู่ดาว “ดูนั่น นกกระเรียน ดอกบัว ไข่มุก”

“อยู่ฮักเคิลเบอร์รี่ผมดูดาวไม่ค่อยออก” ผมบอก “เพราะมัวแต่มองหาหมู่ดาวแบบบนโลกที่ผมเกิดมา เวลาเงยหน้าทีไร ใจก็เผลอคาดหวังว่าจะได้เห็นกระบวยใหญ่หรือนายพราน”

“ก่อนมาที่นี่ฉันไม่เคยดูดาวเลย” เจนบอก “คือหมายถึงฉันเห็นดวงดาว เพียงแต่มันไม่มีความหมายอะไรสำหรับฉัน มันก็เป็นแค่ดวงดาว แต่พอพวกเรามาอยู่ที่นี่แล้ว ฉันก็เริ่มใช้เวลามากมายไปกับการศึกษากลุ่มดาว”

“ผมจำได้” ผมพูด ซึ่งผมก็จำได้จริงๆ วิแกรม บาเนอร์เจ ซึ่งเคยเป็นนักดาราศาสตร์ตอนอยู่ที่โลก เคยมาบ้านเราบ่อยๆในช่วงหลายปีแรกที่เราย้ายมาอยู่หมู่บ้านนิวโกอา เขาพร่ำสอนเจนดูดาวด้วยความอดทน เขาเสียชีวิตไม่นานหลังจากที่สอนกลุ่มดาวบนท้องฟ้าฮักเคิลเบอร์รี่ให้เธอครบหมดแล้ว

“ตอนแรกฉันมองไม่ออก” เจนบอก

“กลุ่มดาวน่ะเหรอ” ผมถาม

เจนพยักหน้า “วิแกรมชี้ให้ฉันดู แต่ฉันก็เห็นแต่กระจุกดาว” เธอว่า “ขนาดเขาเอาแผนที่ดวงดาวมาให้ฉันดูรูปแบบการเรียงตัว แต่พอเงยหน้าขึ้นไปฉันก็เห็นแต่…ดวงดาว มันเป็นแบบนั้นอยู่นานมาก แล้วพอคืนหนึ่ง ขณะเดินกลับบ้านหลังเลิกงาน ฉันก็เงยหน้าขึ้นแล้วบอกกับตัวเองว่า ‘นั่นไงนกกระเรียน’ แล้วฉันก็ค่อยเห็นมันจริงๆ เห็นนกกระเรียน เห็นกลุ่มดาว นั่นล่ะคือตอนที่ฉันรู้ว่าที่นี่คือบ้าน นั่นคือตอนที่รู้ว่าฉันมาเพื่ออยู่ยาว ที่นี่คือที่ของฉัน”

ผมเลื่อนแขนลงมาโอบเอวเธอ

“แต่ที่นี่ไม่ใช่ที่ของคุณใช่ไหม” เจนถาม

“ที่ของผมคือที่ที่มีคุณอยู่”

“คุณเข้าใจความหมายของฉันน่า”

“ผมรู้ว่าคุณหมายความว่ายังไง” ผมบอก “ผมชอบที่นี่นะเจน ผมชอบผู้คน ชอบวิถีชีวิตของเรา”

“แต่” เจนเสริม

ผมยักไหล่

เจนรู้สึกได้ “ฉันก็คิดไว้อย่างนั้นแหละ”

“ผมไม่ได้เป็นทุกข์”

“ฉันก็ไม่ได้บอกว่าคุณเป็น” เจนพูด “ฉันรู้ว่าคุณไม่ได้เป็นทุกข์กับฉันหรือกับโซอี้ ถ้านายพลไรบิกกีไม่ได้โผล่มา คุณก็คงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าคุณพร้อมจะไปต่อแล้ว”

ผมพยักหน้าและจุมพิตเธอที่ท้ายทอย เรื่องนั้นเธอพูดถูก

“ฉันคุยกับโซอี้เรียบร้อยแล้ว” เจนว่า

“แล้วโซอี้ว่าไงบ้าง” ผมถาม

“โซอี้ก็เหมือนคุณนั่นล่ะ” เจนตอบ “เธอชอบที่นี่ แต่ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเธอ เธอชอบความคิดเรื่องการเดินทางไปยังอาณานิคมอื่นที่เริ่มจากศูนย์”

“มันเข้ากับนิสัยชอบผจญภัยของเธอ”

“ก็อาจใช่” เจนบอก “ที่นี่ไม่ค่อยมีการผจญภัยอะไรมากนัก แต่นั่นล่ะคือสิ่งหนึ่งที่ฉันชอบ”

“ตลกดีนะที่คำพูดนี้มาจากปากของทหารกองกำลังพิเศษ”

“ฉันพูดอย่างนี้เพราะฉันเป็นกองกำลังพิเศษจริงๆ” เจนว่า “ฉันผจญภัยมาตลอดเก้าปีไม่เคยหยุด ฉันถือกำเนิดขึ้นมาในนั้น และถ้าไม่ใช่เพราะคุณและโซอี้ ฉันก็คงจะตายในนั้นด้วย ไม่มีวันได้มีอะไรอย่างอื่น คำว่าผจญภัยน่ะมันฟังดูดีเกินจริง”

“แต่คุณก็คิดจะออกไปผจญภัยต่ออยู่ดี”

“ก็เพราะคุณคิด”

“เรายังไม่ได้ตัดสินใจ” ผมบอก “เราสามารถตอบปฏิเสธได้ ที่นี่คือที่ของคุณ”

“ ‘ที่ของผมคือที่ที่มีคุณอยู่’ ” เจนทวนคำพูดผม “ที่นี่คือที่ของฉันจริงๆ แต่ที่อื่นก็อาจเป็นได้เช่นกัน ฉันเพิ่งเคยมีที่ของตัวเองมาแค่ที่เดียว บางทีฉันอาจแค่กลัวการทิ้งมันไป”

“ผมว่ามีอะไรไม่มากนักที่ทำให้คุณกลัวได้”

“ฉันกลัวอะไรหลายอย่างที่แตกต่างจากที่คุณกลัว” เจนบอก “คุณไม่ได้สังเกต เพราะบางครั้งคุณก็ไม่ใช่คนช่างสังเกต”

“ขอบคุณนะ” ผมตอบรับ แล้วเราสองคนก็ยืนอิงแอบกันอยู่บนถนน

“เรากลับมาที่นี่ได้เสมอ” สุดท้ายเจนก็พูดขึ้นอย่างนี้

“ใช่” ผมบอก “ถ้าคุณต้องการ”

“เดี๋ยวก็ได้รู้กัน” เจนเอนตัวมาจูบแก้มผม จากนั้นก็ผละออกไปแล้วเริ่มเดินไปตามถนน ผมหันหลังจะเดินกลับบ้าน

“อยู่กับฉันก่อน” เจนบอก

“ตกลง” ผมพูด “ขอโทษที เมื่อกี้นึกว่าคุณอยากอยู่คนเดียว”

“ไม่” เจนว่า “มาเดินเล่นกับฉันก่อน ฉันจะสอนคุณดูดาว เราเหลือเวลามากพอสำหรับเรื่องนั้น”