โอลด์แมนส์วอร์ ปฐมบทสงครามข้ามเอกภพ
John Scalzi เขียน ดาวิษ ชาญชัยวานิช แปล
©Copyright 2016 Solis Publishing All Rights Reserved
อ่านตัวอย่างครึ่งแรกได้ที่นี่ค่ะ
บทที่หนึ่ง (ครึ่งหลัง)
“มาหรือไป” เธอทวนคำ “เข้ามาเซ็นเอกสารแสดงความจำนง หรือจะไปเริ่มประจำการแล้ว”
“อ่อ งั้นก็ไปครับ”
คำตอบนี้ทำให้เธอยอมเงยหน้าขึ้นมา เธอหรี่ตามองผมผ่านกรอบแว่นที่ออกจะดูเคร่งขรึม “คุณคือจอห์น เพอร์รีย์สินะ” เธอบอก
“ใช่แล้ว คุณเดาถูกได้ยังไง”
เธอหันกลับไปยังคอมพิวเตอร์ “คนส่วนใหญ่ที่อยากเป็นทหารมักจะมาสมัครในวันเกิด ถึงแม้จะมีเวลาให้สมัครได้อีกสามสิบวันหลังจากนั้นก็ตาม เรามีคนที่เกิดวันนี้ทั้งหมดสามคน แมรี วาลอรีโทรมาบอกแล้วว่าเธอไม่ไป และคุณก็ดูแล้วไม่น่าใช่ซินเทีย สมิธ”
“ดีใจจริงๆที่ได้ยินอย่างนั้น” ผมบอก
“และเนื่องจากคุณไม่ได้มาที่นี่เพื่อเขียนใบสมัครเบื้องต้น” เธอพูดต่อโดยไม่สนใจความพยายามที่จะพูดติดตลกของผม “มันก็สมเหตุสมผลที่คุณจะเป็นจอห์น เพอร์รีย์”
“ผมอาจเป็นแค่ตาแก่ที่เหงามากเลยเดินเข้ามาหาคนคุยด้วยส่งเดชก็ได้” ผมบอก
“เราไม่ค่อยเจอแบบนั้นสักเท่าไหร่” เธอว่า “เพราะส่วนใหญ่จะตกใจกลัวพวกเด็กๆร้านข้างๆที่มีรอยสักรูปปีศาจจนเตลิดหนีไป” สุดท้ายเธอก็เลื่อนคีย์บอร์ดออกไปแล้วหันมาสนใจผมอย่างเต็มที่ “ทีนี้ก็ขอบัตรประจำตัวด้วยค่ะ”
“แต่คุณรู้อยู่แล้วนี่ว่าผมเป็นใคร” ผมเตือนความจำ
“เพื่อความแน่ใจ” เธอพูดโดยไม่มีเค้าแห่งรอยยิ้มแม้แต่น้อย การต้องรับมือกับตาแก่ปากเสียเป็นรายวันดูท่าจะส่งผลกับเธอไม่มากก็น้อย
ผมยื่นใบขับขี่ สูติบัตร และบัตรประชาชนให้เธอ เธอรับไว้แล้วหยิบแผ่นแฮนด์แพ็ดออกมาเสียบกับคอมพิวเตอร์ เสร็จแล้วก็เลื่อนมาให้ผม ผมเอามือวางบนนั้น รอจนเครื่องสแกนเสร็จ เธอเก็บแผ่นแฮนด์แพ็ดกลับไปแล้วหยิบบัตรประชาชนมารูดเพื่อเทียบดูให้แน่ใจว่าข้อมูลถูกต้องตรงกัน “คุณคือจอห์น เพอร์รีย์” เธอพูดขึ้นในที่สุด
“แล้วเราก็วนกลับมาที่จุดเริ่มต้นกันใหม่” ผมบอก
เธอไม่สนใจผมอีกแล้ว “สิบปีก่อน ในระหว่างการปฐมนิเทศเพื่อแสดงความจำนง คุณได้รับข้อมูลเกี่ยวกับกองกำลังป้องกันอาณานิคมไปแล้ว รวมถึงภาระหน้าที่ที่คุณจะต้องแบกรับหากเข้าร่วมกับซีดีเอฟ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งชี้ว่าพูดมาแล้วทุกวัน อย่างน้อยวันละครั้ง แทบจะตลอดชีวิตการทำงานที่ผ่านมา “นอกจากนั้น ในช่วงระหว่างกาล ทางเรายังได้จัดส่งเอกสารทบทวนไปให้คุณอีกด้วย เพื่อย้ำเตือนถึงภาระหน้าที่ที่คุณจะต้องแบกรับ
“ซึ่ง ณ จุดนี้ คุณยังต้องการดูพรีเซนเทชั่นทบทวนหรือข้อมูลใดๆเพิ่มเติมอีกหรือไม่ หรือคุณขอแถลงว่าคุณเข้าใจถึงภาระหน้าที่ที่จะต้องแบกรับเป็นอย่างดี ขอให้รู้ไว้ว่าในขั้นตอนนี้ การขอเอกสารทบทวนหรือการปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกับซีดีเอฟยังไม่ถือว่ามีความผิด”
ผมจำการปฐมนิเทศตอนนั้นได้ ส่วนแรกประกอบด้วยพลเมืองสูงอายุกลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้พับภายในศูนย์ชุมชนกรีนวิลล์ พวกเขากินโดนัทและดื่มกาแฟขณะนั่งฟังสหายจากกองกำลังซีดีเอฟร่ายยาวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของอาณานิคมมนุษย์ เสร็จแล้วเจ้าหน้าที่คนนั้นก็ยื่นจุลสารเกี่ยวกับชีวิตของทหารประจำการในกองกำลังซีดีเอฟให้ ซึ่งก็ดูไม่แตกต่างอะไรจากชีวิตทหารที่อื่น ในช่วงถาม-ตอบพวกเราถึงค่อยรู้ว่าเจ้าหน้าที่คนนี้ไม่ได้ทำงานในกองกำลังซีดีเอฟ แค่ถูกจ้างมาจัดการพรีเซนต์ในพื้นที่ไมอามีวัลเลย์เท่านั้น
ส่วนที่สองของการปฐมนิเทศวันนั้นคือการตรวจร่างกายเบื้องต้น…หมอคนหนึ่งเดินเข้ามาเก็บตัวอย่างเลือดของพวกเรา เอาสำลีถูกระพุ้งแก้มเพื่อเก็บตัวอย่างเซลล์ นอกจากนั้นก็ยังมีการสแกนสมองอีก ซึ่งดูท่าว่าผมจะผ่าน หลังจากนั้นพวกเขาก็ส่งจุลสารฉบับเดิมฉบับนั้นมาที่บ้านผมปีละครั้ง หลังจากปีที่สองเป็นต้นไป ผมก็เริ่มโยนมันทิ้ง ไม่ได้อ่านอีกเลย
“ผมเข้าใจ” ผมบอก
เธอพยักหน้าแล้วหยิบปากกากระดาษออกมาจากโต๊ะ ยื่นให้ผม กระดาษแผ่นนั้นมีหลายย่อหน้า แต่ละย่อหน้ามีช่องว่างสำหรับเซ็นชื่ออยู่ข้างล่าง ผมจำเอกสารแผ่นนี้ได้ เคยเซ็นคล้ายๆกันมาแล้วเมื่อสิบปีก่อน ข้อความนั้นระบุว่าผมเข้าใจดีถึงสิ่งที่ตัวเองจะต้องเผชิญในอีกทศวรรษข้างหน้า
“ฉันจะอ่านข้อความในแต่ละย่อหน้าให้ฟัง” เธอบอก “และพอตอนท้ายของแต่ละย่อหน้า ถ้าคุณเข้าใจและยอมรับข้อความดังกล่าว กรุณาลงชื่อและวันที่บนเส้นประใต้ย่อหน้านั้นๆ ถ้ามีคำถามกรุณาถามหลังจากฉันอ่านจบย่อหน้าแล้ว ถ้าคุณไม่เข้าใจหรือไม่ยอมรับข้อความที่ฉันอ่านและอธิบายให้ฟัง กรุณาอย่าลงชื่อ คุณเข้าใจไหมคะ”
“เข้าใจ” ผมบอก
“ดีมาก” เธอพูดต่อ “ย่อหน้าที่หนึ่ง ข้าพเจ้า ผู้ลงนาม ยอมรับและเข้าใจเป็นอย่างดีว่าข้าพเจ้ามีอิสระและมีความตั้งใจเป็นของตนเองที่จะอาสาสมัครเข้าร่วมกองกำลังป้องกันอาณานิคมโดยปราศจากการบีบบังคับแต่อย่างใด ระยะเวลาคือไม่น้อยกว่าสองปี นอกจากนั้นยังเข้าใจว่าในช่วงสงครามและความบีบคั้น กองกำลังป้องกันอาณานิคมสามารถยืดระยะเวลาออกไปได้อีกแปดปี แต่ไม่สามารถลดได้”
ไอ้เงื่อนไขเพิ่มเติม “รวมทั้งสิ้นสิบปี” เนี่ยไม่ใช่ข่าวใหม่สำหรับผม…คือผมเคยอ่านเอกสารที่พวกเขาส่งมาอยู่ครั้งสองครั้ง…อย่างไรก็ตาม ผมสงสัยว่าจะมีสักกี่คนที่อ่านข้ามมันไป และสำหรับคนที่ได้อ่าน มันจะมีสักกี่คนกันนะที่คิดว่าตัวเองจะต้องไปเป็นทหารถึงสิบปีจริงๆ ความรู้สึกของผมก็คือกองกำลังซีดีเอฟคงไม่ขอเผื่อเวลาเอาไว้สิบปีหรอกถ้าพวกเขาไม่คิดว่ามันจะมีความจำเป็น กฎหมายการกักด่านทำให้พวกเราที่นี่ไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับสงครามอาณานิคมมากนัก แต่เท่าที่ได้ยินมาก็ทำให้เรารู้แล้วว่าตอนนี้เอกภพไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาแห่งความสงบสุข
ผมลงชื่อ
“ย่อหน้าที่สอง ข้าพเจ้าเข้าใจเป็นอย่างดีว่าเมื่อสมัครใจเข้าร่วมกองกำลังป้องกันอาณานิคมแล้ว ข้าพเจ้าก็เท่ากับตกลงที่จะถืออาวุธและใช้อาวุธต่ออริศัตรูแห่งสหภาพอาณานิคม ซึ่งอาจรวมถึงกองกำลังมนุษย์หน่วยอื่นๆด้วย ในระหว่างการเป็นทหาร ข้าพเจ้าจะไม่ปฏิเสธการถือและใช้อาวุธตามคำสั่ง จะไม่ยกความเชื่อหรือคติทางศาสนาขึ้นมาเป็นข้ออ้างหลีกเลี่ยงการสู้รบ”
จะมีสักกี่คนกันนะที่มาสมัครเข้ากองทัพแล้วยังอุตส่าห์ยกเรื่องความรู้สึกผิดชอบชั่วดีขึ้นมาอ้าง? ผมลงชื่อ
“ย่อหน้าที่สาม ข้าพเจ้าเข้าใจและยินยอมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่ผู้มียศสูงกว่าโดยเต็มใจและด้วยความฉับไว ตามหลักจรรยาบรรณแห่งกองกำลังป้องกันอาณานิคม”
ผมลงชื่อ
“ย่อหน้าที่สี่ ข้าพเจ้าเข้าใจเป็นอย่างดีว่าด้วยการอาสาเข้าร่วมกองกำลังป้องกันอาณานิคม ข้าพเจ้ายินยอมรับบริการทางการแพทย์ การผ่าตัด หรือการบำบัดเพื่อยกระดับความพร้อมในการสู้รบ ตามแต่ที่กองกำลังป้องกันอาณานิคมเห็นสมควร”
นี่ล่ะประเด็น นี่คือเหตุผลที่ผมกับตาแก่อายุเจ็ดสิบห้าปีคนอื่นๆอีกนับไม่ถ้วนพากันมาลงชื่อทุกปี
ผมเคยบอกปู่ของผมครั้งหนึ่งว่ากว่าผมจะอายุเท่าปู่ มนุษย์ก็คงค้นพบวิธีที่จะยืดอายุขัยออกไปได้อีกมากโขแล้ว ปู่หัวเราะและบอกว่าปู่เองก็เคยคิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ดูสิ สุดท้ายปู่ก็ยังเป็นตาแก่หงำเหงือกอยู่ดี และทีนี้ก็ถึงตาผมแล้ว ปัญหาเกี่ยวกับอายุน่ะไม่ได้ถาโถมเข้ามาใส่เราครั้งแล้วครั้งเล่าหรอกนะ…มันถาโถมเข้ามาพร้อมๆกันตูมเดียวเลย แถมยังตลอดเวลาอีกต่างหาก
คุณหยุดความแก่ไม่ได้ การบำบัดยีน การเปลี่ยนอวัยวะ และศัลยกรรมพลาสติกทำให้คุณพอมีทางสู้กับมันได้บ้าง แต่สุดท้ายความแก่จะไล่ทันคุณ พอเปลี่ยนปอดใหม่ ลิ้นหัวใจก็พัง พอเปลี่ยนหัวใจ ตับก็บวมเท่าสระว่ายน้ำเป่าลมของพวกเด็กๆ พอเปลี่ยนตับ โรคหลอดเลือดสมองก็ทำคุณก๊งๆไปอีก และนี่ล่ะคือไพ่ไม้ตายของความแก่ คือคุณเปลี่ยนสมองไม่ได้
เมื่อไม่นานมานี้ อายุขัยของมนุษย์ได้ไต่ระดับขึ้นไปจนถึงเกือบเก้าสิบปี และมันก็ย่ำอยู่ตรงนั้นมาตลอด กล่าวคือจากเดิมที่ระบุไว้ในคัมภีร์ว่า “อายุขัยเจ็ดสิบปีของมนุษย์” เราก็รีดอายุขัยมาเพิ่มได้อีกเกือบยี่สิบปี จากนั้นพระเจ้าก็ดูเหมือนจะตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าพอแล้ว มนุษย์อาจมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นได้ ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ…แต่มนุษย์จะต้องใช้เวลาที่ได้เกินมานั้นในฐานะคนแก่ อันนี้ไม่ใคร่จะมีใครไปเปลี่ยนแปลงมันได้
ฟังนะทุกคน พอคุณอายุยี่สิบห้า สามสิบห้า สี่สิบห้า หรือแม้กระทั่งห้าสิบห้า คุณยังพอมีความหวังที่จะคิดการณ์ใหญ่ได้บ้าง แต่พออายุหกสิบห้าและร่างกายมีแต่เสื่อมถอยอย่างรวดเร็วนี่สิ “บริการทางการแพทย์ การผ่าตัด หรือการบำบัด” ซึ่งฟังดูคลุมเครือๆนี่ก็ชักจะน่าสนใจขึ้นมาทันที พอจากนั้นคุณก็อายุเจ็ดสิบห้า เพื่อนๆตายหมดแล้ว คุณเคยเปลี่ยนอวัยวะชิ้นสำคัญๆมาอย่างน้อยหนึ่งชิ้น คุณต้องลุกไปฉี่สี่ครั้งต่อคืน จะขึ้นลงบันไดทีก็อดไม่ได้ต้องหอบนิดๆ…แล้วใครต่อใครก็ยังมาบอกอีกว่าคุณนี่ดูแข็งแรงทีเดียวนะสำหรับคนอายุเท่านี้
การเอาสิ่งนั้นไปแลกกับชีวิตที่กระชุ่มกระชวยในสนามรบสักหนึ่งทศวรรษเริ่มฟังดูเหมือนเป็นข้อต่อรองที่ดีมาก โดยเฉพาะถ้าคุณไม่ทำอย่างนั้น อีกสิบปีคุณก็อายุแปดสิบห้าแล้ว พอถึงตอนนั้น ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวระหว่างคุณกับลูกเกดก็คือทั้งคุณและลูกเกดต่างก็เหี่ยวย่นและไม่มีต่อมลูกหมากด้วยกันทั้งคู่ เพียงแต่ลูกเกดไม่มีต่อมลูกหมากมาตั้งแต่แรกแล้ว
แล้วกองกำลังซีดีเอฟย้อนกระบวนการการแก่ได้ด้วยวิธีไหนกันล่ะ อันนี้ไม่มีใครบนโลกรู้คำตอบ นักวิทยาศาสตร์บนโลกอธิบายไม่ได้ว่าพวกเขาทำได้อย่างไร จึงไม่สามารถเลียนแบบกระบวนการได้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยลองนะ กองกำลังซีดีเอฟไม่มีการปฏิบัติภารกิจบนโลก คุณเลยจะไปถามทหารผ่านศึกของซีดีเอฟไม่ได้ อย่างไรก็ตาม กองกำลังซีดีเอฟเกณฑ์คนแค่จากบนโลกเท่านั้น ดังนั้นต่อให้คุณไปถามชาวอาณานิคมได้ เขาก็จะไม่รู้คำตอบเหมือนกัน ซึ่งความจริงแล้วคุณก็ไปถามไม่ได้อยู่ดี ไม่ว่ากองกำลังซีดีเอฟจะใช้กระบวนการอะไร พวกเขาก็ทำมันเฉพาะในเขตอวกาศนอกดาวเคราะห์ และทำในเขตอำนาจของกองกำลังซีดีเอฟเท่านั้น ห่างไกลจากสายตาของรัฐบาลโลกและรัฐบาลแห่งชาติ จึงไม่มีความช่วยเหลือจากลุงแซมหรือใครทั้งสิ้น
นานๆครั้งจะมีผู้ออกกฎหมาย ประธานาธิบดี หรือไม่ก็เผด็จการสักคนประกาศแบนการเกณฑ์ทหารของกองกำลังซีดีเอฟจนกว่าพวกเขาจะยอมเปิดเผยความลับ กองกำลังซีดีเอฟก็ไม่เคยโต้แย้ง พวกเขาเพียงแค่เก็บกระเป๋าแล้วไปเลย แต่หลังจากนั้น คนอายุเจ็ดสิบห้าทุกคนในประเทศก็จะเริ่มออกเดินทางไกลโดยไม่กลับมาอีก กองกำลังซีดีเอฟไม่ให้คำอธิบายใดๆ ไม่ให้เหตุผลหรือแม้แต่เบาะแส และถ้าคุณอยากรู้ว่าพวกเขาทำให้คนกลับมาหนุ่มแน่นอีกครั้งได้อย่างไร คุณก็ต้องลงชื่อ
ผมลงชื่อ
“ย่อหน้าที่ห้า ข้าพเจ้าเข้าใจเป็นอย่างดีว่าด้วยการอาสาเข้าร่วมกองกำลังป้องกันอาณานิคม ข้าพเจ้าถือว่าได้เพิกถอนความเป็นพลเมืองตามสิทธิ์แห่งอาณาเขตทางการเมือง(ซึ่งในกรณีนี้คือสหรัฐอเมริกา) รวมไปถึงสิทธิ์แห่งการพำนักในอาณาเขตอื่นๆบนโลกที่พ่วงมาพร้อมกับสิทธิ์หลัก ข้าพเจ้าเข้าใจเป็นอย่างดีว่าสิทธิ์แห่งความเป็นพลเมืองของข้าพเจ้าจะถูกถ่ายโอนไปยังสหภาพอาณานิคม กล่าวโดยเฉพาะเจาะจงคือกองกำลังป้องกันอาณานิคม ต่อเนื่องเป็นลำดับกัน ข้าพเจ้ารับทราบและเข้าใจเป็นอย่างดีว่าเมื่อเพิกถอนสิทธิ์ความเป็นพลเมืองท้องถิ่นรวมถึงสิทธิ์แห่งการพำนักอาศัยในอาณาเขตใดๆบนโลกไปแล้ว ข้าพเจ้าเท่ากับหมดสิทธิ์ที่จะกลับมายังโลก และเมื่อหมดวาระการทำหน้าที่ในกองกำลังป้องกันอาณานิคมแล้ว ข้าพเจ้าจะได้ย้ายถิ่นฐานไปยังอาณานิคมใดก็ตามที่สหภาพอาณานิคม และ/หรือ กองกำลังป้องกันอาณานิคมเห็นสมควร”
พูดให้ง่ายกว่านั้นคือคุณกลับบ้านไม่ได้แล้ว นี่เป็นหลักใหญ่ใจความของกฎหมายการกักด่าน ซึ่งบังคับใช้โดยสหภาพอาณานิคมและกองกำลังซีดีเอฟ(อย่างน้อยก็อย่างเป็นทางการ)เพื่อปกป้องโลกไม่ให้ต้องเจอกับหายนะทางชีววิทยาจากต่างดาวดังที่เคยเจอมาในอดีต ยกตัวอย่างเช่นเหตุการณ์การเป็นหมันครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ซึ่งทำให้ตอนนั้นผู้คนบนโลกต่างก็เห็นด้วยกับกฎหมายข้อนี้กันหมด ตลกดีนะว่าดาวเคราะห์สักดวงจะโดดเดี่ยวได้มากแค่ไหนถ้าภายในหนึ่งปี หนึ่งในสามของประชากรชายทั้งหมดเกิดไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้อย่างถาวร แต่ตอนนี้คนที่นี่ไม่ค่อยสนใจเรื่องนั้นกันแล้ว…พวกเขาเบื่อโลกใบนี้และอยากเห็นส่วนอื่นๆของเอกภพบ้าง แถมยังลืมเรื่องคุณทวดวอลต์ผู้เป็นหมันกันไปหมดแล้ว และก็มีแต่ซียูกับกองกำลังซีดีเอฟเท่านั้นที่มียานอวกาศซึ่งมีระบบสกิปไดร์ฟสำหรับเดินทางข้ามดวงดาว เพราะฉะนั้นมันก็เลยออกมาเป็นอย่างนี้ไงล่ะ
(นี่เลยทำให้การยินยอมตกลงจะตั้งถิ่นฐานใหม่ตามแต่ซียูจะบัญชากลายเป็นเรื่องไร้สาระไป…เพราะมีแต่พวกเขาเท่านั้นล่ะที่มียาน ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะพาคุณไปที่ไหนคุณก็ต้องไป ใช่ว่าพวกเขาจะปล่อยให้คุณขับยานเองหรืออะไรแบบนั้นสักหน่อย)
ผลข้างเคียงจากกฎหมายการกักด่านและการผูกขาดระบบสกิปไดร์ฟก็คือมันทำให้โลกกับอาณานิคมอื่นๆสื่อสารกันไม่ได้(อาณานิคมต่างๆก็สื่อสารกันเองไม่ได้ด้วยเช่นกัน) วิธีเดียวที่จะได้รับข้อความจากอาณานิคมสักแห่งคือการฝากข้อความไปกับยานที่มีระบบสกิปไดร์ฟ แล้วกองกำลังซีดีเอฟก็จะนำส่งข้อความนั้นไปยังรัฐบาลบนดาวเคราะห์ดวงต่างๆให้อย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่สำหรับคนอื่นนี่หมดสิทธิ์เลย คุณอาจจะลองตั้งจานดาวเทียมขึ้นมารอจับสัญญาณการสื่อสารจากโคโลนีทั้งหลายดูก็ได้ แต่กระทั่งอัลฟา(ซึ่งเป็นโคโลนีที่อยู่ใกล้โลกที่สุด)ก็ยังอยู่ห่างออกไปตั้งแปดสิบสามปีแสง นี่ทำให้การเมาท์อย่างเมามันระหว่างดาวเคราะห์ดวงต่างๆเป็นไปได้ยากยิ่ง
ผมไม่เคยถาม แต่ก็พอนึกภาพออกว่าคงเป็นย่อหน้านี้ล่ะมั้งที่ทำให้คนส่วนใหญ่เปลี่ยนใจ การอยากกลับไปเป็นหนุ่มสาวมันก็เรื่องหนึ่ง แต่การหันหลังให้ทุกอย่างในชีวิตที่คุณรู้จัก คนทุกคนที่คุณเคยพบหรือเคยรัก ทุกประสบการณ์ที่คุณสั่งสมเอาไว้มาตลอดช่วงเจ็ดทศวรรษครึ่ง นั่นมันเกือบจะเป็นอีกเรื่องโดยสิ้นเชิง การบอกลาชีวิตทั้งชีวิตของคุณมันไม่ใช่เรื่องง่ายแม้แต่น้อย
ผมลงชื่อ
“ย่อหน้าที่หก…ย่อหน้าสุดท้าย” เจ้าหน้าที่เกณฑ์ทหารบอก “ข้าพเจ้ารับทราบและเข้าใจเป็นอย่างดีว่าภายในเจ็ดสิบสองชั่วโมงหลังการลงชื่อในเอกสารฉบับนี้ หรือหลังจากการเดินทางออกจากโลกด้วยความช่วยเหลือของกองกำลังป้องกันอาณานิคม(ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งไหนมาก่อน) ข้าพเจ้าจะถือว่าเสียชีวิตในทางกฎหมายในอาณาเขตตามสัญชาติทางกฎหมายของตนไปแล้ว(ซึ่งในกรณีนี้คือรัฐโอไฮโอและสหรัฐอเมริกา) ทรัพย์สินใดที่ยังเหลืออยู่จะถูกจัดสรรตามกฎหมาย ภาระและความรับผิดชอบทางกฎหมายต่างๆที่ถูกไถ่ถอนด้วยการเสียชีวิตจักถูกไถ่ถอนในทันที ประวัติในทางกฎหมาย(ไม่ว่าจะเป็นคุณงามความดีหรือความอัปยศอดสู)จะถูกขีดฆ่าทิ้งด้วยประการฉะนี้ หนี้สินจะได้รับการปลดเปลื้องตามกฎหมาย ข้าพเจ้ารับทราบและเข้าใจเป็นอย่างดีว่าถ้าหากข้าพเจ้ายังไม่ได้เตรียมการเรื่องการถ่ายโอนทรัพย์สินไปยังบุตรหลาน ข้าพเจ้าสามารถขอความช่วยเหลือทางด้านกฎหมายและการเงินจากกองกำลังป้องกันอาณานิคมได้ เพื่อจัดการให้แล้วเสร็จภายในเจ็ดสิบสองชั่วโมง”
ผมลงชื่อ ฉะนั้นจะว่าไปแล้ว ตอนนี้ผมมีชีวิตเหลืออีกแค่เจ็ดสิบสองชั่วโมง
“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าผมไม่ออกจากโลกภายในเจ็ดสิบสองชั่วโมง” ผมถามขณะยื่นเอกสารคืนให้เจ้าหน้าที่
“ก็ไม่เกิดอะไรค่ะ” เธอรับเอกสารไป “ก็แค่ว่าคุณถือว่าเสียชีวิตไปแล้วในทางกฎหมาย ข้าวของทั้งหมดจะถูกจัดแบ่งตามพินัยกรรม ประกันชีวิตและประกันสุขภาพจะถูกยกเลิกหรือถ่ายโอนไปยังทายาท และเมื่อเสียชีวิตไปแล้วตามกฎหมาย คุณจะไม่ได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายอีก ทั้งจากการหมิ่นประมาทไปจนถึงการฆาตกรรม”
“งั้นถ้ามีใครเดินเข้ามาฆ่าผมตาย คนๆนั้นก็จะไม่ต้องรับโทษตามกฎหมายเลยเหรอ”
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นนะคะ” เธอว่า “ถ้าเกิดมีใครมาฆ่าคุณในภาวะที่คุณเสียชีวิตในทางกฎหมายไปแล้ว ดิฉันเชื่อว่าในรัฐโอไฮโอ คนๆนั้นอาจถูกดำเนินคดีในข้อหา ‘ย่ำยีศพ’ ได้ค่ะ”
“น่าสนใจ” ผมบอก
“อย่างไรก็ตาม” เธอพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนน่ากลัว “ปกติจะไม่ไปไกลถึงขั้นนั้นหรอกค่ะ เพราะในระหว่างเจ็ดสิบสองชั่วโมงนี้ คุณสามารถเปลี่ยนใจเรื่องการเข้าร่วมกองทัพได้ แค่โทรหาดิฉันที่นี่ ถ้าไม่รับสายก็ฝากชื่อทิ้งไว้กับระบบตอบรับอัตโนมัติ พอยืนยันแล้วว่าคุณต้องการยกเลิกการเกณฑ์ทหารจริง คุณก็จะหลุดพ้นจากภาระผูกพันทุกประการ แต่ขอให้จำไว้ว่าการยกเลิกจะทำให้คุณหมดสิทธิ์ในการเข้าร่วมไปตลอดชีวิตที่เหลือ นี่เป็นข้อเสนอที่มีมาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
“เข้าใจละ” ผมบอก “ผมต้องทำการปฏิญาณตนเลยรึเปล่า”
“ไม่ต้องค่ะ” เธอตอบ “ดิฉันแค่ต้องจัดการกับเอกสารและส่งมอบตั๋วให้คุณเท่านั้น” เธอหันกลับไปพิมพ์อะไรต๊อกแต๊กๆอีกสองสามนาที จากนั้นก็กดปุ่มเอ็นเทอร์ “คอมพิวเตอร์กำลังปรินต์ตั๋วให้อยู่นะคะ” เธอว่า “ใช้เวลาประมาณหนึ่งนาที”
“โอเค” ผมตอบรับ “ขอถามอะไรคุณหน่อยได้ไหม”
“ดิฉันแต่งงานแล้วค่ะ” เธอตอบ
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่จะถาม” ผมแก้ “นี่เคยมีคนมาขอคุณแต่งงานจริงๆเหรอเนี่ย”
“ตลอดแหละค่ะ” เธอว่า “น่ารำคาญน่าดู”
“อันนั้นผมเสียใจด้วยนะ” ผมบอก เธอพยักหน้า “แต่ที่ผมจะถามคือคุณเคยเจอใครที่มาจากกองกำลังซีดีเอฟจริงๆบ้างรึเปล่า”
“หมายถึงนอกจากผู้ที่มาสมัครทหารน่ะเหรอคะ”
ผมพยักหน้า
“ไม่เคยค่ะ ซีดีเอฟมีบริษัทข้างล่างนี่ ซึ่งคอยทำหน้าที่เกณฑ์คนให้ แต่พวกเราไม่ได้มาจากกองกำลังซีดีเอฟจริงๆ ขนาดผู้บริหารระดับสูงก็ไม่น่าจะใช่คนของซีดีเอฟเลยนะคะ พวกเราได้รับข้อมูลและเอกสารต่างๆผ่านทางเจ้าหน้าที่สถานทูตสหภาพอาณานิคม ไม่ใช่จากซีดีเอฟโดยตรง ดิฉันคิดว่าพวกเขาไม่เคยมาที่โลกเองหรอกค่ะ”
“คุณไม่ตะขิดตะขวงใจเหรอที่ต้องทำงานให้กับองค์กรที่คุณไม่เคยเจอตัว”
“ไม่นี่คะ” เธอว่า “งานก็โอเค เงินก็งามจนน่าตกใจ เมื่อคำนึงถึงงบที่ใช้ตกแต่งสำนักงานห้องนี้ ยังไงก็ตาม คุณเองก็กำลังจะเข้าร่วมกับองค์กรที่คุณไม่เคยเจอตัว คุณไม่ตะขิดตะขวงใจบ้างเหรอคะ”
“ไม่นะ” ผมตอบตามตรง “ผมแก่แล้ว ภรรยาก็ตาย มันไม่ค่อยมีเหตุผลให้อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว แล้วคุณจะสมัครบ้างไหมเมื่อเวลามาถึง”
เธอยักไหล่ “ฉันไม่รังเกียจที่จะต้องแก่หรอกค่ะ”
“ตอนยังหนุ่มๆผมก็ไม่รังเกียจที่จะต้องแก่” ผมบอก “แต่พอแก่เข้าแล้วจริงๆนี่สิ ตอนนั้นล่ะที่ผมรับไม่ได้”
เครื่องปรินเตอร์ส่งเสียงครืดๆเบาๆแล้วก็คายกระดาษที่ดูคล้ายๆนามบัตรออกมา เธอยื่นให้ผม “นี่คือตั๋วของคุณ” เธอบอก “มันระบุว่าคุณคือจอห์น เพอร์รีย์และเป็นทหารเกณฑ์ของซีดีเอฟ อย่าทำหายนะคะ รถชัตเทิลจะออกจากหน้าสำนักงานในอีกสามวัน เพื่อไปส่งคุณที่สนามบินเดย์ตั้น รถออกเวลา 8:30 น. ขอแนะนำให้คุณมาก่อนเวลา คุณได้รับอนุญาตให้มีกระเป๋าถือแค่ใบเดียวเท่านั้น ดังนั้นกรุณาเลือกสิ่งของที่จะนำติดตัวไปด้วยความรอบคอบ
“จากเดย์ตั้นคุณจะขึ้นเครื่องรอบสิบเอ็ดโมงเช้าไปยังชิคาโก จากนั้นก็ขึ้นเครื่องเดลต้ารอบบ่ายสองไปยังไนโรบี ที่นั่นเวลาเร็วกว่าที่นี่เก้าชั่วโมง ดังนั้นคุณจะไปถึงตอนเที่ยงคืนตามเวลาท้องถิ่น คุณจะได้พบกับตัวแทนของซีดีเอฟ และคุณจะมีตัวเลือกว่าจะขึ้นลิฟต์ต้นถั่วไปยังสถานีโคโลเนียลสเตชั่นตอนตีสอง หรือจะพักผ่อนแล้วรอขึ้นลิฟต์ต้นถั่วตอนเก้าโมงเช้า จากตรงนั้นคุณถือว่าอยู่ในความดูแลของซีดีเอฟเป็นที่เรียบร้อย”
ผมรับตั๋วเอาไว้ “พวกคุณจะทำยังไงถ้าเที่ยวบินเลตหรือว่าดีเลย์”
“ตั้งแต่ฉันทำงานที่นี่มาห้าปียังไม่เคยมีเหตุการณ์เครื่องดีเลย์เลยแม้แต่ครั้งเดียว” เธอว่า
“โอ้โห” ผมอุทาน “อย่างนั้นรถไฟของซีดีเอฟก็คงต้องวิ่งตรงเวลาด้วยเหมือนกันแน่ๆ”
เธอมองผมหน้านิ่ง
“คือแบบ” ผมเอ่ยขึ้น “ผมพยายามเล่นมุกตั้งแต่มาถึงที่นี่แล้วน่ะ”
“ฉันรู้ค่ะ” เธอบอก “ฉันขอโทษด้วย แต่ฉันถูกผ่าตัดเอาต่อมหัวเราะออกไปตั้งแต่เด็กๆ”
“โอ้” ผมอุทาน
“นั่นเป็นมุกค่ะ” เธอพูด เสร็จแล้วก็ยืนขึ้น พร้อมกับยื่นมือออกมา
“โอ้” ผมลุกขึ้นและจับมือเธอ
“ยินดีด้วยพลทหารเกณฑ์” เธอว่า “ขอให้โชคดีในหมู่ดาวนะคะ ฉันหมายความตามนั้นจริงๆ” เธอเสริม
“ขอบคุณ” ผมบอก “ผมซาบซึ้งใจมาก” เธอพยักหน้าแล้วก็นั่งมองคอมพิวเตอร์ตามเดิม ผมถูกไล่แล้ว
ขากลับผมเห็นหญิงชราคนหนึ่งกำลังเดินตัดลานจอดรถมาที่สำนักงาน ผมเลยเดินเข้าไปหา “ซินเทีย สมิธรึเปล่าครับ” ผมถาม
“ใช่ค่ะ” เธอตอบ “คุณรู้ได้ยังไง”
“ผมแค่อยากจะบอกว่าสุขสันต์วันเกิด” ผมชี้นิ้วขึ้นฟ้า “ไว้บางทีเราอาจจะได้เจอกันอีกบนนั้น”
เธอยิ้มออกมาเมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ในที่สุดผมก็ทำให้ใครบางคนยิ้มได้สักที อะไรๆกำลังจะดีขึ้น