Old Man’s War Sample บทที่หนึ่ง (ครึ่งแรก)

Photo 8-20-2560 BE, 3 24 58 PM

โอลด์แมนส์วอร์ ปฐมบทสงครามข้ามเอกภพ

John Scalzi เขียน      ดาวิษ ชาญชัยวานิช แปล

©Copyright 2016  Solis Publishing  All Rights Reserved

 

บทที่หนึ่ง

ผมทำอยู่สองอย่างในวันเกิดปีที่เจ็ดสิบห้า คือไปเยี่ยมหลุมศพภรรยา กับสมัครเป็นทหาร

การไปเยี่ยมหลุมศพของแคธีเป็นเหตุการณ์ที่อลังการน้อยกว่าอีกเรื่อง เธอถูกฝังอยู่ที่สุสานแฮร์ริสครี้ก เลยไปตามถนนจากจุดที่ผมอาศัยและเลี้ยงดูครอบครัวไปแค่ไม่ถึงหนึ่งไมล์ การพาเธอไปอยู่ในสุสานเป็นเรื่องยาก เผลอๆจะยากเกินกว่าที่มันควรจะเป็น เพราะเราสองคนไม่มีใครคาดคิดเรื่องการฝังศพของอีกฝ่ายมาก่อน เราเลยไม่ได้เตรียมการกันไว้ ต้องบอกว่ามันเป็นเรื่องที่น่ากลัวตายชัก(ผมเลือกคำพูดได้ดีมาก)กับการที่เราต้องไปเถียงกับผู้ดูแลสุสานเรื่องที่ภรรยาของเราไม่ได้จองที่ฝังสำหรับตัวเองเอาไว้ แต่สุดท้ายลูกชายของผมที่ชื่อชาร์ลี(ซึ่งโชคดีว่าเป็นนายกเทศมนตรี)ก็ไปหักคอเขาจนได้ที่มา การเป็นพ่อของนายกเทศมนตรีนี่มันก็มีข้อดีเหมือนกันนะ

นั่นล่ะ เราก็เลยได้หลุมศพมา มันทั้งเรียบง่ายและไม่มีอะไรโดดเด่น คือมีแต่แผ่นป้ายเล็กๆแทนที่จะเป็นป้ายหลุมศพขนาดใหญ่ ผิดกับแซนดรา เคน ที่นอนอยู่ข้างๆแคธี ป้ายหลุมศพของแซนดรา เคน นี่ใหญ่เว่อร์เชียว มันเป็นหินแกรนิตดำขัดเงาซึ่งมีรูปถ่ายสมัยมัธยมของแซนดี้พร้อมกับโควตคำพูดซึ้งๆของคีตส์ว่าด้วยการจากไปของเยาว์วัยและความงามพ่นทรายเอาไว้ข้างหน้า ดูเป็นแซนดี้มากๆ แคธีคงขำน่าดูถ้าได้รู้ว่าตัวเองต้องมานอนอยู่ข้างแซนดรากับป้ายหลุมศพอันเว่อร์วังอลังการแบบนี้ เพราะตลอดชีวิตของทั้งคู่ แซนดี้เหมือนจะมีความปรารถนาอยู่ลึกๆที่จะเอาชนะแคธีให้ได้ในทุกเรื่อง ตอนที่แคธีอบพายถาดหนึ่งไปขายในตลาดท้องถิ่น แซนดี้ก็อบไปขายบ้างสามถาด แถมยังมีการมาเขม่นแคธีอย่างไม่ค่อยแนบเนียนสักเท่าไหร่ตอนที่แคธีขายพายเสี้ยวแรกได้ก่อน แคธีเคยพยายามแก้ปัญหานี้ด้วยการชิงซื้อพายเสี้ยวแรกของแซนดี้ให้ก่อน แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่านี่มันทำให้อะไรๆดีขึ้นหรือแย่ลงกันแน่ จากมุมมองของแซนดี้น่ะนะ

ผมคิดว่าป้ายหลุมศพของแซนดี้อาจถือเป็นการพูดทีหลังดังกว่าก็ได้ เป็นการตอกกลับครั้งสุดท้ายที่ไม่สามารถโต้เถียงต่อได้ เพราะจะอย่างไร แคธีก็ตายไปแล้ว แต่ในอีกทางหนึ่ง ผมก็จำไม่ได้เลยว่ามีใครเคยมาเยี่ยมหลุมศพของแซนดี้บ้างหรือเปล่า สามเดือนหลังจากที่แซนดี้เสีย สตีฟ เคนก็ขายบ้านและย้ายไปอยู่รัฐแอริโซนาโดยมีรอยยิ้มที่กว้างขวางพอๆกับถนนไฮเวย์ 10 มลรัฐแปะอยู่บนใบหน้า หลังจากนั้นสักระยะหนึ่งเขาก็ส่งโปสการ์ดมาบอกผมว่าเขาไปลงเอยกับผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่น ซึ่งเธอคนนี้เคยเป็นดาราหนังโป๊เมื่อห้าสิบปีก่อน ผมรู้สึกแหยงตามเนื้อตัวไปหนึ่งสัปดาห์เลยหลังจากได้รู้เรื่องนั้น ลูกหลานของแซนดี้อาศัยอยู่ห่างไปอีกเมือง แต่อาจจะไปเที่ยวรัฐแอริโซนาบ่อยแค่พอๆกับที่พวกเขามาเยี่ยมหลุมศพของแซนดี้เท่านั้น หลังงานศพของแซนดี้ นอกจากผมแล้วก็คงไม่มีใครได้มาอ่านคำคมของคีตส์บนป้ายหลุมศพของเธออีกเลยมั้งเนี่ย และที่ผมได้อ่านเนี่ยก็เป็นเพราะผมต้องเดินผ่านมันไปที่หลุมศพของภรรยาเท่านั้น

ป้ายหลุมศพของแคธีจารึกไว้แต่ชื่อของเธอ(แคเทอรีน รีเบ็กก้า เพอร์รีย์) วันเกิด วันตาย และคำไว้อาลัย ซึ่งก็คือภรรยาและแม่ผู้เป็นที่รัก ผมจะอ่านคำนี้ซ้ำไปซ้ำมาทุกครั้งที่ผมมาเยี่ยมหลุมศพเธอ ก็มันอดไม่ได้นี่ มันเป็นคำพูดแค่ไม่กี่คำที่ช่างไม่เพียงพอแต่กลับสามารถสรุปชีวิตทั้งชีวิตของเธอได้อย่างลงตัว คำพูดนี้ไม่บ่งบอกอะไรเกี่ยวกับตัวเธอ ไม่บ่งบอกอะไรเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันหรือหน้าที่การงานของเธอ ไม่บ่งบอกว่าเธอมีความสนใจในเรื่องอะไรหรือชอบไปเที่ยวที่ไหน อ่านแล้วคุณจะไม่มีวันรู้เลยว่าเธอชอบสีอะไร ชอบทำผมแบบไหน ชอบพรรคการเมืองพรรคไหน หรือมีอารมณ์ขันมากน้อยอย่างไร คุณจะไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลยนอกจากเรื่องที่ว่าเธอคือผู้เป็นที่รัก ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริง เธอคงคิดว่าแค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว

ผมเกลียดการมาเยี่ยมหลุมศพ ผมเกลียดความจริงที่ว่าภรรยาผู้ซึ่งอยู่กินกับผมมาสี่สิบสองปีตายไปแล้ว ในเช้าวันเสาร์วันหนึ่งเธอกำลังกวนแป้งวาฟเฟิลอยู่ดีๆ แถมยังคุยกับผมไปด้วยเรื่องการทะเลาะเบาะแว้งในที่ประชุมห้องสมุดเมื่อคืนก่อน แต่แล้วจู่ๆเธอก็ลงไปนอนชักอยู่กับพื้นขณะที่โรคหลอดเลือดสมองกำลังสำแดงเดชอยู่ภายในหัวของเธอ ผมเกลียดที่คำพูดสุดท้ายของเธอคือ “ฉันเอาไอ้วานิลลานั่นไปเก็บที่ไหนเนี่ย”

ผมเกลียดที่ตัวเองกลายเป็นตาแก่พวกนั้น ตาแก่ที่ชอบมาสุสานเพื่อมาอยู่กับภรรยาที่ตายไปแล้ว ตอนที่ผมยังหนุ่มกว่านี้(มาก) ผมเคยถามแคธีว่านั่นมันมีประโยชน์อะไรกัน เนื้อเน่าๆกับกระดูกผุๆที่เคยเป็นคนกองนั้นมันไม่ใช่คนอีกต่อไปแล้ว มันก็เป็นแค่กองเนื้อเน่าๆกับกระดูกผุๆเท่านั้น คนๆนั้นจากไปแล้ว…ไปสวรรค์ ไม่ก็ไปนรก ไปที่ไหนสักแห่งหรือไม่ก็ไม่ใช่ที่ไหนเลย แบบนี้ให้ไปเยี่ยมเนื้อวัวชิ้นหนึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรกันหรอก แต่พออายุมากขึ้น คุณพบว่าตัวเองยังคิดอย่างเดิมอยู่ เพียงแค่ว่าคุณไม่แคร์แล้ว เพราะนั่นคือทั้งหมดที่คุณมีเหลืออยู่

แต่ไม่ว่าจะเกลียดสุสานมากแค่ไหน ผมก็ยังรู้สึกขอบคุณมันอยู่ดี ผมคิดถึงภรรยาของผม มันง่ายที่จะมาคิดถึงเธอที่สุสาน ที่ซึ่งเธอไม่ใช่อะไรเลยนอกจากคนตาย การมาคิดถึงเธอที่นี่มันง่ายกว่าการไปคิดถึงเธอตามสถานที่ต่างๆที่เธอเคยมีชีวิตอยู่

แต่ผมก็ไม่ได้อยู่นานหรอก ผมไม่เคยอยู่นาน แค่นานพอให้รู้สึกเจ็บแปลบตรงแผลใจที่ยังสดอยู่แม้จะผ่านมาเกือบแปดปีแล้วก็ตาม มันเป็นแผลที่ย้ำเตือนว่าผมยังมีอะไรให้ต้องทำนอกจากการมายืนอยู่ในสุสานเป็นตาแก่โง่เง่าสักคน พอผมรู้สึกถึงความเจ็บปวดนั้นแล้ว ผมก็หันหลังและเดินจากไปโดยไม่เหลียวกลับมาอีก นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้มาที่สุสานแห่งนี้ เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้มาเยี่ยมหลุมศพภรรยา แต่ผมก็ไม่อยากใช้ความพยายามมากเกินไปในการจดจำมัน ก็อย่างที่บอก นี่เป็นสถานที่ซึ่งเธอไม่ใช่อะไรเลยนอกจากคนตาย สิ่งนั้นมันไม่มีค่าพอให้จดจำ

แต่มาคิดดูอีกที การสมัครเป็นทหารก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอลังการอะไรขนาดนั้นเหมือนกัน

เมืองของผมเล็กเกินกว่าที่จะมีสำนักงานสัสดี ผมเลยต้องขับรถไปสมัครถึงเมืองกรีนวิลล์ซึ่งเป็นที่ตั้งเทศมณฑล สำนักงานสัสดีที่นี่ตั้งอยู่ในห้องเล็กๆหน้าห้างสรรพสินค้าชั้นเดียว ขนาบด้วยร้านขายเหล้าแบบถูกกฎหมายประจำรัฐและร้านรับสัก คือถ้ามาแถวนี้แล้วคุณอาจตื่นมาเจอปัญหาในตอนเช้าได้เลย ขึ้นอยู่กับว่าเข้าร้านไหนก่อนหลัง

ภายในสำนักงานยิ่งดูจืดชืดเข้าไปอีก ถ้ามันจะเป็นไปได้น่ะนะ ภายในประกอบด้วยโต๊ะทำงานที่มีคอมพิวเตอร์และปรินเตอร์ หลังโต๊ะมีคนนั่งอยู่หนึ่งคน หน้าโต๊ะมีเก้าอี้วางไว้สองตัว ริมผนังยังมีอีกหกตัว ตรงโต๊ะเล็กตัวหนึ่งจัดวางไว้ด้วยข้อมูลเกี่ยวกับการเกณฑ์ทหาร นิตยสารไทม์ และนิตยสารนิวส์วี้กฉบับเก่าๆ แคธีกับผมเคยมาที่นี่แล้วเมื่อสิบปีก่อน และดูท่าว่าของทุกชิ้นจะยังคงวางอยู่ที่เดิม แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง รวมถึงนิตยสารด้วย แต่คนที่นั่งอยู่นั่นดูเหมือนไม่ใช่คนเดิมกับเมื่อสิบปีก่อน อย่างน้อยผมก็จำได้ว่าเจ้าหน้าที่เกณฑ์ทหารคราวที่แล้วไม่ได้มีผมเยอะขนาดนี้ นมก็ด้วย

เจ้าหน้าที่เกณฑ์ทหารกำลังง่วนอยู่กับการพิมพ์คอมพิวเตอร์จนถึงกับไม่เงยหน้าขึ้นมาเลย “รอแป๊บนึงนะ” เธอเอ่ยเบาๆเหมือนเป็นแค่การตอบสนองแบบ*พาฟลอฟเวลาที่ประตูเปิดเท่านั้น

(*Pavlovian response เป็นคำที่ได้มาจากการทดลองของนักจิตวิทยาที่ชื่ออิวาน พาฟลอฟ โดยเป็นการทดลองกับสุนัข ผู้ทดลองจะสั่นกระดิ่งทุกครั้งก่อนที่สุนัขจะได้รับอาหาร นานเข้า สุนัขจะมีน้ำลายไหลทุกครั้งที่ได้ยินเสียงกระดิ่งแม้จะไม่ได้รับอาหารแล้วก็ตาม)

“ไม่ต้องรีบ” ผมบอก “เพราะดูแล้วท่าทางจะคนแน่นเอี้ยดเชียว” ความพยายามที่จะเล่นมุกประชดประชันของผมไม่ประสบผลสำเร็จ แป้กสนิท ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติในช่วงสองสามปีมานี้ ดีใจจริงๆที่ได้เห็นว่าฟอร์มของผมไม่มีตกเลย ผมนั่งลงหน้าโต๊ะทำงานและรอให้เจ้าหน้าที่เกณฑ์ทหารคนนั้นทำอะไรก็ตามของเธอให้เสร็จ

“มาหรือไป?” เธอถามโดยที่ยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมา

“อะไรนะ?” ผมถาม

“มาหรือไป” เธอทวนคำ “เข้ามาเซ็นเอกสารแสดงความจำนง หรือจะไปเริ่มประจำการแล้ว”

……………………………………………………………………………………..

 

ติดตามบทที่หนึ่ง (ครึ่งหลัง)​ ได้ทาง http://www.facebook.com/solisbooks เร็วๆนี้ค่ะ