Skip to content
  • Facebook
  • Twitter

  • Facebook
  • Twitter
  • ตัวอย่างหนังสือ

ตัวอย่างทดลองอ่าน “เซตากันดา”

solisbooks January 12, 2021

บทที่หนึ่ง

“มีแต่เรื่องนั้นที่ทำให้ฉันเชื่อว่าพวกโฮตยังเป็นมนุษย์กับเขาอยู่หลังจากดัดแปลงพันธุกรรมกันไปตั้งไม่รู้เท่าไหร่”

-ไมล์ส วอร์โคสิกัน-

“ต้องพูดว่า ‘การทูตคือการสงครามที่อยู่ในมือคนอื่น’ ใช่มั้ย” อิวานถาม “หรือว่าต้องกลับกันนะ ‘การสงครามคือการทูต—’”

“การทูตทั้งหลายล้วนเป็นเพียงการสงครามที่ดำเนินต่อไปในรูปแบบอื่น” ไมล์สท่องเป็นชุด “โจวเอินไหล ศตวรรษที่ 20 ดาวเคราะห์โลก”

“นายนี่มันตัวอะไรกัน สารานุกรมเดินได้หรือไง”

“ฉันน่ะไม่ แต่ถังน่ะใช่ หมอนั่นสะสมสุภาษิตของปราชญ์จีนโบราณและบังคับให้ฉันท่องจำ”

“แล้วตาเฒ่าโจวที่ว่าเป็นนักการทูตหรือนักรบล่ะ”

เรือเอกไมล์ส วอร์โคสิกัน ใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง “ฉันว่าต้องเป็นนักการทูตแน่ๆ”

สายรั้งนิรภัยรัดแนบตัวไมล์สเมื่อไอพ่นปรับระดับทำงานและบังคับให้ยานเล็กลำหรูเลี้ยวไป ภายในนี้มีแค่เขากับอิวานนั่งหันหน้าเข้าหากันอย่างเหงาๆ อยู่บนเบาะยาวคนละตัวซึ่งทอดไปตามลำยานสั้นๆ ไมล์สชะเง้อข้ามไหล่นักบินเพื่อแอบดูดาวเคราะห์ที่หมุนรอบตัวเองอยู่เบื้องล่าง

เอตาเซตา 4 คือดาวอันเป็นทั้งนครหลวงและมาตุภูมิของอาณาจักรเซตากันดาอันไพศาล พจนานุกรมของคนสติดีๆ ทุกคนย่อมเห็นพ้องต้องกันกับไมล์สว่าดาวเคราะห์ที่พัฒนาแล้วแปดดวงกับพันธมิตรและประเทศราชอีกเท่าๆ กันคู่ควรกับคำว่าไพศาล แต่บรรดาขุนนางเจ็มแห่งเซตากันดาก็ยังอยากไพศาลไปให้มากกว่านี้อีกสักนิดและล่วงล้ำอาณาเขตของเพื่อนบ้านอีกสักหน่อยทันทีที่สบโอกาส

เอาเถอะ ไม่ว่าใครจะใหญ่โตขนาดไหนก็ยังส่งยานรบผ่านรูหนอนได้ทีละลำเหมือนกับคนอื่นๆ นั่นละ

ปัญหาก็คือยานของบางคนนี่มันดันใหญ่ ฉิบหายด้วยน่ะสิ

ชายผ้าหลากสีแห่งรัตติกาลสะบัดแตะชายขอบของดาวเคราะห์พร้อมกันกับที่ยานเล็กค่อยๆ ปรับความเร็วให้สอดคล้องกับรอบวงโคจรของสถานีเชื่อมต่อที่จะเข้าไปเทียบท่าซึ่งต่างกับความเร็วตั้งต้นที่เท่ากับยานเดินสารบาร์รายาร์อันเป็นต้นทาง ซีกโลกที่ตกอยู่ในยามราตรีนั้นระยิบระยับจนปวดตา จุดแสงวิบวับเกลื่อนกลาดไปทั่วทุกทวีป ให้ตายเถอะ แสงแห่งความศิวิไลซ์นั้นสว่างพอให้อ่านหนังสือได้ด้วยซ้ำ สว่างอย่างกับจันทร์เต็มดวง และทำให้ดาวบาร์รายาร์บ้านเกิดของไมล์สกลายเป็นดาวบ้านนอกมืดตื๋อห่างไกลความเจริญที่มีแค่แสงจากเมืองเล็กตรงโน้นนิดตรงนี้หน่อยขึ้นมาทันที อาภรณ์ที่ปักด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงของดาวเอตาเซตาช่างฉูดฉาดเสียนี่กระไร ใช่แล้ว ประโคมหนักจนเกินไป เหมือนผู้หญิงที่โปะเครื่องเพชรจนเต็มตัว ไร้รสนิยมที่สุด ไมล์สพยายามกล่อมตัวเอง นายไม่ใช่ไอ้บ้านนอกที่ไหนนะเฟ้ย นายรับมือได้ นายคือลอร์ดวอร์โคสิกันผู้เป็นทั้งนายทหารชั้นสัญญาบัตรและผู้ดีมีตระกูลเชียวนะ

เรือเอกอิวานเองก็เป็นทั้งสองอย่างเช่นกัน แต่ข้อเท็จจริงนั้นกลับไม่ได้ทำให้ไมล์สใจชื้นขึ้นเลยสักนิด ไมล์สพิจารณาลูกพี่ลูกน้องหนุ่มสูงใหญ่ผู้กำลังชะเง้อมองภาพตรงหน้าเช่นกัน ดวงตาคู่นั้นเป็นประกาย ริมฝีปากเผยอเล็กน้อย แสดงอาการตื่นตาตื่นใจกับจุดหมายปลายทางเบื้องล่าง เอาเถอะ อย่างน้อยอิวานก็ดูสมบทบาทเจ้าหน้าที่การทูตทุกกระเบียดนิ้ว ตั้งแต่ร่างสูง ผมดำขลับ และท่าทางสะอาดสะอ้าน ไปจนถึงใบหน้าหล่อเหลาที่เผยรอยยิ้มดูเป็นธรรมชาติตลอดเวลากับร่างกำยำที่สวมเครื่องแบบสนามของนายทหารสัญญาบัตรได้ขึ้นเป็นที่สุด เจ้านิสัยเสียที่ฝังรากลึกของไมล์สเริ่มเอาตัวเองไปเปรียบเทียบเพื่อขยี้จุดด้อยอีกแล้ว

เครื่องแบบของไมล์สนั้นต้องสั่งตัดมาเป็นพิเศษถึงจะพอดีตัวเขาและช่วยอำพรางความผิดปกติแต่กำเนิดระดับมหึมาซึ่งการรักษานานนับปีแก้ไขไปแล้วไม่น้อย เขาควรจะตื้นตันที่ทีมแพทย์มาได้ไกลขนาดนี้ทั้งที่มีวัตถุดิบแค่หยิบมือ หลังรักษาตัวมาชั่วชีวิตไมล์สก็มาหยุดอยู่ที่ความสูงสี่ฟุตเก้านิ้ว หลังค่อม และกระดูกเปราะ แต่ก็ดีกว่าการเป็นตัวยึกยือในกระป๋องให้ใครหิ้วไปมา เรื่องนั้นมันของแน่

เขายืนได้ เดินได้ และหากจำเป็นก็วิ่งได้ ถึงจะมีเหล็กดามขาอยู่แบบนี้ก็เถอะ และสำนักความมั่นคงแห่งจักรวรรดิก็ไม่ได้จ้างเขาให้มายืนหล่อ ขอบคุณพระเจ้า แต่จ้างมาให้ใช้สมองต่างหาก ถึงอย่างนั้นไมล์สก็ยังอดคิดแง่ร้ายไม่ได้ว่าเขาถูกส่งมาร่วมขบวนแห่นี้เพื่อเป็นตัวเปรียบเทียบให้อิวานยิ่งดูหล่อเฉยๆ หรือเปล่า ที่แน่ๆ ก็คืออิมพ์เซคไม่ได้มอบหมายภารกิจอื่นใดที่น่าสนใจให้สักอย่าง เว้นแต่จะถือว่าประโยคลงท้ายไร้น้ำใจของอิลลิยัน นายใหญ่แห่งอิมพ์เซคที่ว่า “…แล้วก็อย่าไปก่อเรื่องเข้าล่ะ!” เป็นภารกิจลับอย่างหนึ่ง

แต่จะว่าไป อิวานอาจเป็นฝ่ายที่ถูกส่งมาเป็นตัวเปรียบเทียบให้ไมล์สยิ่งดูฉลาดก็ได้ เมื่อคิดได้อย่างนี้ ไมล์สก็ร่าเริงขึ้นนิดหน่อย

และแล้วสถานีเชื่อมที่ระดับวงโคจรก็ปรากฏให้เห็นตรงตามกำหนดเป๊ะ ไม่มียานลำใดได้รับอนุญาตให้แล่นฝ่าชั้นบรรยากาศของเอตาเซตาลงไปจอดตรงๆ ต่อให้เป็นยานของคณะทูตก็ตาม การกระทำเช่นนั้นถือว่าเสียมารยาทอย่างยิ่ง และเสี่ยงต่อการถูกตักเตือนด้วยปืนใหญ่พลาสมา เอาเถอะ ไมล์สก็ยอมรับว่าดาวที่เจริญแล้วแทบทุกดวงล้วนมีกฎเกณฑ์เช่นนี้ อย่างน้อยๆ ก็เพื่อป้องกันการปนเปื้อนทางชีวภาพจากต่างดาว

“สงสัยจังว่าพระพันปีเสียชีวิตด้วยเหตุธรรมชาติจริงไหม” ไมล์สถามลอยๆ เพราะไม่คิดว่าอิวานจะให้คำตอบได้อยู่แล้ว “เรื่องมันปุบปับน่าดู”

อิวานยักไหล่ “นางน่ะรุ่นแม่ของปู่ใหญ่ปิออตร์เชียวนะ ท่านปู่เองก็แก่มาเป็นชาติแล้ว ตอนเด็กๆ ฉันกลัวเขาจนหัวหดเลยเหอะ ทฤษฎีของนายก็หลอนๆ ดีนะ แต่ฉันว่าไม่หรอก”

“ฉันเกรงว่าอิลลิยันจะเห็นด้วยกับนาย ไม่งั้นคงไม่ยอมให้พวกเรามาหรอก ถ้าคนที่ตายเป็นจักรพรรดิแห่งเซตากันดา แทนที่จะเป็นยายแก่คนหนึ่ง งานคงน่าเบื่อน้อยกว่านี้เยอะ”

“ขืนเป็นแบบนั้นพวกเราจะได้มาอยู่ตรงนี้เรอะ” อิวานแย้งอย่างมีเหตุมีผล “มีหวังถูกส่งไปนั่งเฝ้าด่านที่ไหนสักแห่งทั้งคู่ ขณะที่พวกเจ้าชายต่อสู้ชิงบัลลังก์กัน แบบนี้ดีกว่าตั้งเยอะ ได้เที่ยว ได้กิน ได้เจอหญิง ได้เล่น—”

“นี่มันงานศพ ระดับรัฐพิธีนะ อิวาน”

“แหม ให้ฉันฝันหน่อยไม่ได้หรือไง”

“ยังไงก็เถอะ เราถูกส่งมาสังเกตการณ์เฉยๆ และกลับไปเขียนรายงาน แต่จะรายงานเรื่องอะไรหรือรายงานไปทำไมฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน อิลลิยันย้ำว่าเขาต้องการรายงานเป็นลายลักษณ์อักษร”

อิวานร้องโอดโอย “วันหยุดของข้าพเจ้า โดยเด็กชายอิวาน วอร์พาทริล อายุยี่สิบสองขวบ อย่างกับตอนอยู่ประถมแน่ะ”

วันครบรอบวันเกิดปีที่ยี่สิบสามของไมล์สจะมาถึงก่อนอิวานในไม่ช้า หากภารกิจน่าเบื่อนี้สิ้นสุดลงตามกำหนด ปีนี้ไมล์สก็จะได้กลับบ้านทันฉลองวันเกิดกับเขาบ้าง คิดแล้วก็ดีเหมือนกัน ดวงตาของไมล์สเป็นประกายวาววับ “แต่ก็เอาเถอะ ได้ใส่สีตีไข่ในรายงานเพื่อความบันเทิงของอิลลิยันสักหน่อยก็คงสนุกดีเหมือนกัน ทำไมรายงานของทางราชการต้องเขียนออกมาแห้งแล้งน่าเบื่อเหมือนกันไปหมดทุกทีด้วยนะ”

“ก็เพราะมันเป็นผลิตผลของสมองอันจืดชืดน่าเบื่อน่ะสิ ลูกพี่ลูกน้องผู้ใฝ่การละครแต่ไร้เวทีให้เฉิดฉายของฉัน ยังไงก็อย่าเพลินนักล่ะ อารมณ์ขันของอิลลิยันน่ะเป็นศูนย์ รู้สึกจะเป็นคุณสมบัติประจำตำแหน่ง…”

“ก็ไม่รู้สินะ…” ไมล์สมองยานเล็กลัดเลาะไปตามเส้นทางการบินที่กำหนด สถานีเชื่อมต่อดูจะใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว ใหญ่โตราวกับภูเขา ซับซ้อนราวกับแผงวงจร “ถ้าได้พบนางตัวเป็นๆ คงสนุกดี ผู้หญิงคนนั้นได้เห็นประวัติศาสตร์มากมายเกิดขึ้นกับตามาตั้งศตวรรษครึ่งเชียวนะ ถึงจะมองจากมุมแปลกๆ ในฮาเร็มของพวกโฮตก็เถอะ”

“โอ๊ย พวกป่าเถื่อนชั้นต่ำจากต่างดาวอย่างเราไม่มีวันได้เฉียดใกล้นางหรอก”

“อืม ก็คงจริงของนาย” ยานเล็กของไมล์สหยุดรอให้ยานเซตากันดาลำยักษ์ติดสัญลักษณ์ของมณฑลดาราดวงหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนผ่านไป แต่เคลื่อนเท่าไหร่ก็ไม่หมดเสียที มวลอันมหาศาลขยับเข้าสู่ช่องจอดอย่างแสนจะระมัดระวัง “ลอร์ดโฮตผู้ครองตำแหน่งข้าหลวงใหญ่ประจำทุกมณฑล—พ่วงด้วยขบวนผู้ติดตาม—จะมารวมตัวกันที่นี่ ฝ่ความมั่นคงของเซตากันดาต้องกำลังสนุกกันใหญ่แน่ๆ”

“ขอแค่มีข้าหลวงใหญ่จากมณฑลไหนโผล่มาสองคน ที่เหลือก็คงต้องตามมากันหมดนั่นละ จะปล่อยให้ใครคลาดสายตาไปได้ยังไง” อิวานเลิกคิ้ว “คงอลังการไม่ใช่เล่น พิธีกรรมที่ยกระดับขึ้นไปเป็นศิลปะแขนงหนึ่ง แต่ก็นะ พวกเซตากันดานี่แค่สั่งน้ำมูกยังต้องทำให้เป็นศิลปะเลย จะได้ปรายตาเหยียดหยามคนอื่นได้ถ้าเผลอทำผิด ช่างเกทับกันเป็นที่หนึ่ง”

“มีแต่เรื่องนั้นที่ทำให้ฉันเชื่อว่าพวกโฮตยังเป็นมนุษย์กับเขาอยู่หลังจากดัดแปลงพันธุกรรมกันไปตั้งไม่รู้เท่าไหร่”

อิวานเบ้หน้า “ถึงจะกลายพันธุ์อย่างตั้งใจก็ยังถือว่ากลายพันธุ์อยู่ดี” พอเหลือบเห็นว่าจู่ๆ ลูกพี่ลูกน้องก็ทำตัวแข็ง อิวานก็กระแอมนิดหนึ่งก่อนจะหันไปชะเง้อหาสิ่งที่น่าสนใจนอกยาน

“นายนี่ช่างมีวาทศิลป์ดีจริงนะ อิวาน” ไมล์สกัดฟันพูดพร้อมรอยยิ้ม “ยังไงก็อย่าเผลอไปก่อสงครามด้วยวาทศิลป์นั่นเข้าล่ะ” ทั้งสงครามกับคนใกล้และคนไกล

อิวานยักไหล่กลบเกลื่อนอาการปากพล่อยของตน ทหารช่างยศจ่าชาวบาร์รายาร์สวมชุดสนามสีดำผู้รับหน้าที่นักบินขับยานลำน้อยเข้าเทียบท่าในช่องที่กำหนดไว้อย่างนิ่มนวล ทิวทัศน์ภายนอกหดเหลือเพียงเงาสลัว แผงควบคุมกะพริบไฟต้อนรับอย่างร่าเริง และมอเตอร์เซอร์โวก็ส่งเสียงหึ่งๆ ยามที่ปล่องเชื่อมยานประกบและล็อกเข้าที่ ไมล์สปลดสายนิรภัยช้ากว่าอิวานนิดหนึ่ง พร้อมวางมาดไม่ยี่หระ หรือเจนโลก หรืออะไรสักอย่างนี่ละ เขาจะไม่ยอมทำท่าชะเง้อชะแง้เอาหน้าแนบกระจกเหมือนลูกหมาให้พวกเซตากันดาหน้าไหนได้เห็นเป็นอันขาด ไมล์สคนนี้เป็นคนตระกูลวอร์โคสิกัน แต่หัวใจเขาก็ยังเต้นรัวอยู่ดี

เอกอัครราชทูตบาร์รายาร์ประจำเซตากันดาน่าจะมารอรับแขกระดับสูงทั้งสองด้วยตัวเอง และไมล์สก็หวังว่าอีกฝ่ายจะช่วยชี้แนะพวกเขาด้วย ไมล์สทบทวนคำทักทายและคำเรียกขานอีกฝ่ายตามธรรมเนียม รวมถึงข้อความส่วนตัวจากท่านพ่อซึ่งท่องจำมาเป็นอย่างดีในใจ ยานเล็กล็อกเข้าที่ และประตูที่ผนังยานทางด้านขวาของเบาะยาวที่อิวานนั่งอยู่ก็เปิดออก

ชายคนหนึ่งถลันตัวเข้ามา ก่อนจะชะงักกึกเมื่อคว้าราวจับข้างประตูไว้ได้ เขาจ้องทั้งสองตาค้าง ลมหายใจกระชั้นถี่ ปากขยับพึมพำ แต่จะเป็นคำสบถ บทที่ท่องมา หรือคำภาวนา ไมล์สเองก็ไม่แน่ใจ

ผู้มาใหม่สูงวัยแล้วแต่ยังแข็งแรง แผงไหล่กว้าง ส่วนร่างก็สูงพอๆ กับอิวาน เขาสวมชุดสีเทาเย็นตาขลิบด้วยม่วงอ่อนซึ่งไมล์สคิดว่าเป็นเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่ประจำสถานี บนศีรษะมีไรผมสีขาวบางๆ ปกคลุมอยู่แต่ใบหน้ากลับไร้ขนสักเส้น ไม่มีหนวดเครา ไม่มีคิ้ว กระทั่งไรขนก็ยังไม่มี มือของชายคนนั้นเลื่อนไปที่อกซ้าย ใกล้กับหัวใจ

“มีอาวุธ” ไมล์สร้องเตือน นักบินผู้ตกตะลึงยังปลดสายรั้งนิรภัยไม่เสร็จ ขณะที่ร่างกายของไมล์สก็ไม่เหมาะจะกระโจนไปขวางใคร แต่ปฏิกิริยาโต้ตอบของอิวานผ่านการขัดเกลามาอย่างดี ถึงจะด้วยการฝึกไม่ใช่ศึกจริงก็เถอะ อิวานออกตัวไปแล้ว เขาคว้ามือจับข้างตัวไว้เป็นหลักยึดแล้วเหวี่ยงตัวไปขวางทางผู้บุกรุก

การต่อสู้ด้วยมือเปล่าในสภาวะไร้น้ำหนักนั้นขลุกขลักเสมอ ส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากเราไม่สามารถซัดใครให้เต็มหมัดได้เว้นแต่จะกอดฝ่ายนั้นไว้แน่นๆ ก่อน สุดท้ายทั้งคู่จึงลงเอยด้วยการเล่นมวยปล้ำ ผู้บุกรุกควานมือเปะปะ ทว่าสิ่งที่พยายามตะปบกลับไม่ใช่กระเป๋าเสื้อ แต่เป็นกระเป๋ากางเกงข้างขวา และอิวานก็ปัดปืนตัดขั้วประสาทหลุดจากมืออีกฝ่ายได้สำเร็จ

ปืนที่ว่าปลิวไปกระทบผนังยาน กระดอนกลับมา และกลายเป็นภัยที่คุกคามทุกคนบนยานอย่างเท่าเทียมกัน

ไมล์สเป็นโรคกลัวปืนตัดขั้วประสาทมาแต่ไหนแต่ไรก็จริง แต่ไม่เคยกลัวถูกมันโขกหัวมาก่อน เขาต้องดีดตัวจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งอยู่สองรอบกว่าจะคว้ามันไว้ได้โดยไม่เผลอทำปืนลั่นใส่ตัวเองหรืออิวานเข้า ปืนนั้นกระบอกเล็กกว่าปกติ แต่ก็ชาร์จไฟมาเต็มพร้อมสังหาร

อิวานอ้อมไปด้านหลังของชายสูงวัยและบิดแขนอีกฝ่ายไพล่หลัง ไมล์สฉวยโอกาสนี้ชิงอาวุธชิ้นที่สอง เขากระชากเสื้อกั๊กสีม่วงให้เปิดออกแล้วล้วงหาวัตถุที่ซุกอยู่ในกระเป๋าด้านใน สิ่งที่ติดมือกลับมาเป็นแท่งโลหะสั้นๆ ซึ่งทีแรกไมล์สนึกว่าเป็นกระบองไฟฟ้า

ชายคนนั้นแผดเสียงลั่นพร้อมดิ้นรนสุดชีวิต ไมล์สผู้ตกใจในปฏิกิริยาของอีกฝ่ายและไม่แน่ใจว่าตัวเองเพิ่งทำอะไรลงไปเร่งดีดตัวออกห่างจากการต่อสู้และหลบไปอยู่หลังนักบินเพื่อความปลอดภัย ฟังจากเสียงร้องเหมือนถูกเชือดนั่นแล้ว เขานึกว่าเพิ่งกระชากแบตเตอรี่เลี้ยงหัวใจเทียมหรืออะไรทำนองนั้นหลุดติดมือมา แต่ชายสูงวัยก็ยังมีแรงสู้ แปลว่ามันไม่ใช่เรื่องถึงตายขนาดนั้น

ผู้บุกรุกสะบัดอิวานหลุดแล้วถอยไปที่ประตู และจังหวะพักพิลึกๆ ที่มักจะเกิดขึ้นในการต่อสู้ระยะประชิดก็มาเยือน ต่างคนต่างหอบแฮกขณะที่อะดรีนาลินพลุ่งพล่าน ชายสูงวัยจ้องไมล์สที่กำแท่งโลหะไว้ในมือ สีหน้าเปลี่ยนจากหวาดหวั่นเป็น—เดี๋ยวนะ นั่นแววสาแก่ใจรึ ไม่ใช่หรอกน่า หรือปิ๊งแวบอะไรบ้าๆ เข้า?

เมื่อนักบินเข้าร่วมวงอีกคน ผู้บุกรุกก็ล่าถอยโดยการตีลังกากลับหลังลงไปในปล่องเชื่อม จากนั้นเสียงฝีเท้ากระทบพื้นก็แว่วขึ้นมาจากโรงจอด ไมล์สตะกายลงปล่องตามอิวานไปทันเห็นผู้บุกรุกซึ่งกลับมาทรงตัวได้มั่นคงด้วยแรงโน้มถ่วงเทียมของสถานี ถีบเท้าที่สวมรองเท้าบู๊ตใส่ยอดอกอิวานจนเขากระเด็นกลับมายังปากปล่องเชื่อม กว่าไมล์สกับอิวานจะแงะตัวเองออกจากกันสำเร็จ และกว่าอาการหายใจไม่ออกของอิวานจะทุเลาลงจนเบาใจได้ ชายสูงวัยก็วิ่งหายไปเสียแล้ว ฝีเท้าที่ก้องไปมาชวนให้สับสน หมอนั่นออกไปทางไหนกันแน่ หลังปราดตามองแวบหนึ่งให้แน่ใจว่าผู้โดยสารปลอดภัยดีชั่วขณะ นักบินก็วิ่งกลับไปตอบสัญญาณที่ดังมาจากระบบสื่อสารภายในยาน

อิวานลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่น แล้วมองไปรอบตัว ไมล์สเองก็เช่นกัน ทั้งคู่อยู่ในช่องจอดยานขนส่งสินค้าที่ทั้งมืด ทั้งโทรม ทั้งแคบ

“นี่นะ” อิวานเอ่ยขึ้น “ถ้าหมอนั่นเกิดเป็นเจ้าหน้าที่ศุลกากรขึ้นมา พวกเราต้องซวยแน่”

“ฉันนึกว่าหมอนั่นจะยิงเรา” ไมล์สว่า “ท่าทางเหมือนมาก”

“นายยังไม่ทันเห็นอาวุธด้วยซ้ำตอนตะโกนบอก”

“ไม่ใช่ท่าถืออาวุธหรอก แต่เป็นแววตาต่างหาก เขาดูเหมือนคนที่กำลังจะทำอะไรสักอย่างที่ตัวเองก็กลัวแทบตาย และสุดท้ายก็ชักอาวุธออกมาจริงๆ”

“หลังจากเราจู่โจมเขา ใครจะไปรู้ว่าจริงๆ หมอนั่นคิดจะทำอะไร”

ไมล์สค่อยๆ หมุนตัวเพื่อสำรวจรายละเอียดรอบด้าน ไม่มีมนุษย์สักคน จะเป็นชาวเซตากันดา บาร์รายาร์ หรืออะไรก็เถอะ “นี่มันไม่ชอบมาพากลสุดๆ ถ้าไม่ใช่ว่าหมอนั่นมาผิดที่ ก็ต้องเป็นเรานี่ละที่มาผิด ช่องเทียบยานของเราไม่น่าจะซอมซ่อขนาดนี้มั้ง ท่านทูตอยู่ที่ไหน กองเกียรติยศอีกล่ะ”

“พรมแดงกับนางระบำก็ไม่มี” อิวานถอนใจ “นี่นะ ถ้าหมอนั่นตั้งใจจะลอบสังหารนายหรือจี้ยานเราจริงๆ ก็น่าจะชักปืนตัดขั้วประสาทออกมาแต่แรกไม่ใช่เหรอ”

“แต่หมอนั่นไม่ใช่เจ้าหน้าที่ศุลกากรแน่ๆ ลองดูทางนู้นสิ” ไมล์สชี้ กล้องวงจรปิดสองตัวบนผนังในตำแหน่งที่จะเก็บภาพได้พอดีถูกกระชากหลุดจากแผงยึดลงมาอยู่ในสภาพห้อยต่องแต่งน่าเวทนา “หมอนั่นทำลายมันก่อนจะบุกขึ้นยาน ฉันไม่เข้าใจเลย ทีมรักษาความปลอดภัยของสถานีควรจะแห่กันมาแล้วสิ…นายคิดว่าสิ่งที่หมอนั่นต้องการคือตัวยานไม่ใช่ตัวพวกเรารึ”

“นายคนเดียวต่างหากเฟ้ย ใครที่ไหนจะไปอยากล่าตัวฉัน”

“หมอนั่นดูกลัวพวกเรามากกว่าที่เรากลัวเขา” ไมล์สแอบสูดลมหายใจลึกๆ หวังว่าหัวใจจะเต้นช้าลง

“เชิญนายไม่กลัวไปคนเดียวเหอะ” อิวานว่า “ฉันน่ะกลัวจะแย่”

“นายเป็นไงบ้าง” ไมล์สถามอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ “ไม่มีซี่โครงหรืออะไรหักไปใช่ไหม”

“อ้อ เออ ฉันไม่ตายหรอก…แล้วนายล่ะ”

“ฉันไม่เป็นไร”

อิวานเหลือบลงมองปืนตัดขั้วประสาทในมือขวาของไมล์สตามด้วยแท่งโลหะในมือซ้ายแล้วย่นจมูก “ว่าแต่อาวุธทั้งหมดไปอยู่ในมือนายได้ไงเนี่ย”

“ฉัน…ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” ไมล์สหย่อนปืนตัดขั้วประสาทกระบอกจิ๋วลงในกระเป๋ากางเกงแล้วชูแท่งปริศนาขึ้นส่องกับแสง “ทีแรกฉันนึกว่ามันเป็นกระบองไฟฟ้าสักรุ่น แต่กลับไม่ใช่ ต้องเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แน่ๆ แต่ดูไม่ออกเลยว่ามันคืออะไร”

“ระเบิดมือ” อิวานช่วยคิด “ระเบิดเวลา เดี๋ยวนี้จะผลิตออกมาให้หน้าตาเหมือนอะไรก็ได้นี่นะ”

“ฉันว่าไม่—”

“ท่านขอรับ” นักบินชะโงกหน้าออกมาทางประตู “หอบังคับการบินไม่อนุญาตให้เราเทียบท่าตรงนี้ พวกเขาสั่งให้เราถอยออกไปรอรับคำอนุญาตเปิดทางใหม่ เดี๋ยวนี้เลยขอรับ”

“กะแล้วว่าเราต้องมาผิดที่” อิวานว่า

“กระผมยึดตามพิกัดที่พวกเขาแจ้งขอรับ” นักบินเสียงแข็งขึ้นมานิดหนึ่ง

“ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกจ่า เรื่องนั้นผมมั่นใจ” ไมล์สปลอบ

“หอบังคับการบินเสียงเข้มมากเลยขอรับ” จ่าทำหน้าเครียด “เชิญเถอะขอรับ”

ไมล์สและอิวานกลับขึ้นยานอย่างเชื่อฟัง ไมล์สรัดสายรั้งนิรภัยเข้าที่ตามความเคยชินขณะที่สมองทำงานเร็วจี๋ พยายามหาคำอธิบายให้พิธีต้อนรับสู่ดาวเซตากันดาอันแปลกประหลาดนี้

“ต้องมีคนจงใจไล่เจ้าหน้าที่ออกไปจากแถวนี้แน่ๆ” เขาสรุปออกมาดังๆ “ฉันกล้าวางเงินเบต้าเป็นเดิมพันเลยว่าหน่วยรักษาความปลอดภัยของเซตากันดากำลังหาตัวหมอนั่นให้จ้าละหวั่น นักโทษหลบหนี ให้ตายสิ” เป็นโจร ฆาตกร หรือสายลับกันนะ ยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น

“ที่แน่ๆ คือหมอนั่นปลอมตัวมา” อิวานว่า

“นายรู้ได้ยังไง”

อิวานหยิบเศษไหมสีขาวออกจากแขนเสื้อสีเขียวที่สวมอยู่ “นี่ไม่ใช่ผมจริง”

“งั้นเรอะ” ไมล์สประทับใจ เขาเพ่งพินิจเศษไหมที่อิวานยื่นให้ดู ปลายด้านหนึ่งเหนียวหนึบเพราะกาว “โฮ่”

นักบินรับพิกัดใหม่เรียบร้อย ตอนนี้ยานเล็กลอยลำอยู่ห่างไปประมาณสองสามร้อยเมตรจากช่องเทียบยานนับสิบที่เรียงรายกันเป็นแถวแต่ไม่มียานเทียบอยู่สักลำ “จะให้แจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นไปยังนายสถานีไหมขอรับ” จ่าเอื้อมไปแตะปุ่มสื่อสาร

“อย่าเพิ่ง” ไมล์สว่า

“แต่ท่านขอรับ” นักบินเอี้ยวคอมามองเขาอย่างลังเล “กระผมว่าเราควร—”

“รอให้พวกนั้นเป็นฝ่ายถามเถอะน่า เราไม่ได้มีหน้าที่ต้องไปเก็บกวาดงานรั่วๆ ของพวกเซตากันดาเสียหน่อย ปัญหาใครก็จัดการกันไปเองสิ”

รอยยิ้มบางๆ ซึ่งเจ้าตัวเร่งซ่อนโดยพลันบ่งบอกว่านักบินเห็นด้วยกับข้ออ้างนี้ “รับคำสั่งขอรับท่าน” เขารับคำอย่างเป็นทางการ ทำให้มันกลายเป็นคำสั่งและตกอยู่ในความรับผิดชอบของนายทหารสัญญาบัตรชั้นสูงอย่างไมล์ส ไม่ใช่ทหารช่างยศจ่าต่ำต้อยคนหนึ่ง “แล้วแต่ท่านจะตัดสินใจขอรับ”

“ไมล์ส” อิวานพึมพำ “นายคิดว่าตัวเองทำอะไรอยู่ฮึ”

“ก็สังเกตการณ์น่ะสิ” ไมล์สวางมาดเป็นทางการ “ฉันกำลังสังเกตการณ์ว่าหน่วยรักษาความปลอดภัยประจำสถานีเซตากันดาทำงานเป็นยังไง นายไม่คิดหรือว่าอิลลิยันน่าจะอยากรู้เรื่องนี้ ยังไงพวกนั้นก็ต้องมาสอบปากคำเราแล้วก็ยึดของคืนไปนั่นละ แต่ทำแบบนี้ฉันจะได้ข้อมูลกลับมาบ้าง ไม่ต้องเครียดหรอกน่า อิวาน”

อิวานทิ้งตัวพิงเก้าอี้ ท่าทีกังวลของเขาค่อยๆ คลายลงเมื่อเวลาผ่านไปโดยไม่มีเรื่องอื่นใดมาขัดจังหวะความเบื่อหน่ายในยานเล็กนี้อีก ไมล์สสำรวจสมบัติที่ชิงมาได้ ปืนตัดขั้วประสาทกระบอกนั้นเป็นปืนพลเรือนที่ทำขึ้นอย่างดี ไม่ใช่ปืนทหาร เพียงเท่านี้ก็ประหลาดแล้ว รัฐบาลเซตากันดาไม่สนับสนุนให้ประชาชนทั่วไปถือครองอาวุธต่อต้านบุคคลที่ถึงตายแบบนี้หรอก แต่มันก็ไร้ลวดลายประดับหรูหราอย่างที่ของเล่นของขุนนางเจ็มสักคนควรมี หน้าตาของมันเรียบง่าย เน้นประโยชน์ใช้สอย ทั้งยังกะทัดรัดเหมาะกับการซ่อนให้ลับตา

เจ้าแท่งโลหะสั้นๆ นั่นยิ่งประหลาดกว่าอีก ผิวหน้าโปร่งใสของมันฝังกากเพชรวิบวับที่คล้ายจะเป็นแค่ลวดลายตกแต่ง แต่ไมล์สแน่ใจว่ากล้องจุลทรรศน์จะเผยให้เห็นวงจรเล็กจิ๋ว ปลายด้านหนึ่งของแท่นนั้นเรียบสนิท ขณะที่อีกด้านมีปลอกซึ่งสลักเป็นลวดลายครอบอยู่

“หน้าตาดูเหมือนมีไว้เสียบอะไรสักอย่าง” เขาเปรยกับอิวานพลางพลิกแท่งโลหะในมือขึ้นส่องแสง

“อาจจะเป็นแท่งหรรษาก็ได้” อิวานยิ้มเยาะ

ไมล์สแค่นหัวเราะ “ใครจะไปรู้รสนิยมขุนนางเจ็มพวกนั้น แต่ฉันว่าไม่น่าใช่” ดวงตราบนปลอกนั้นดูคล้ายนกร้ายกางกรงเล็บคมกริบ และเมื่อมองลึกลงไปในรอยแกะสลักก็จะเห็นเส้นโลหะเงาวับอันเป็นจุดเชื่อมต่อวงจร คู่ของมันอยู่ในมือใครสักคนที่ไหนสักแห่ง ลายที่นูนขึ้นเป็นรูปนกกรีดเสียงซ่อนรหัสซับซ้อนไว้ใช้เปิดปลอกเพื่อเผย…เผยอะไรกัน รหัสอีกชุดงั้นรึ กุญแจสำหรับไขกุญแจ…เลิศเลออะไรอย่างนี้ ไมล์สยิ้มอย่างประทับใจ

อิวานมองเขาอย่างระแวง “นายจะคืนมันไปใช่ไหม”

“แน่นอน ถ้าพวกเขาเอ่ยปากขอ”

“แล้วถ้าไม่ขอล่ะ”

“ก็เก็บไว้เป็นที่ระลึกมั้ง สวยเกินจะโยนทิ้งนี่นา อาจจะถือกลับบ้านไปเป็นของฝากอิลลิยัน ให้แก๊งภูตจิ๋วในแล็บรหัสลับของเขาบริหารสมองเล่นสักหนึ่งปี นี่ไม่ใช่ผลงานของมือสมัครเล่นแน่ๆ ขนาดฉันยังมองออกเลย”

ก่อนที่อิวานจะทันแย้งอะไรต่อ ไมล์สก็ปลดกระดุมเสื้อนอกสีเขียวที่สวมอยู่และซุกเจ้าสิ่งที่ว่าเข้าไปในกระเป๋าด้านในเสียก่อน ไม่กวนตาก็ไม่กวนใจ “เออ นายเก็บเจ้านี่ไว้ไหมล่ะ” เขาโยนปืนตัดขั้วประสาทให้ลูกพี่ลูกน้อง

คราวนี้อิวานให้ความร่วมมืออย่างดี หลังแบ่งสมบัติเรียบร้อย อิวานซึ่งกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดไปแล้วก็ซ่อนอาวุธจิ๋วนั้นไว้ในเสื้อนอกของตัวเองบ้าง กะแล้วว่าความลับและความร้ายของอาวุธนั่นจะทำให้อิวานใจลอยและสุภาพเรียบร้อยไปได้จนพิธีการตรวจคนเข้าเมืองที่รออยู่เสร็จสิ้น

ในที่สุดหอบังคับการบินก็มีคำสั่งให้เข้าเทียบท่าอีกครั้ง ยานประกบเข้ากับช่องเทียบยานซึ่งอยู่ถัดจากเดิมไปสองช่อง คราวนี้ประตูเปิดออกอย่างราบรื่น หลังลังเลนิดหนึ่ง อิวานก็ก้าวเข้าไปในปล่องเชื่อม ไมล์สตามไปติดๆ

ชายเจ็ดคนรอทั้งสองอยู่ในโถงสีเทาซึ่งหน้าตาเหมือนโถงแรกเกือบจะไม่ผิดเพี้ยน เพียงแค่สะอาดและสว่างกว่า ไมล์สรู้ทันทีว่าคนไหนคือทูตชาวบาร์รายาร์ ลอร์ดวอร์ร็อบเยฟเป็นชายร่างเตี้ยตันอายุประมาณหกสิบปีตามมาตรฐานสากล ดวงตาคมกริบ สีหน้ายิ้มแย้ม ทว่าก็เก็บอาการ เขาสวมเครื่องแบบประจำตระกูลวอร์ร็อบเยฟซึ่งเป็นสีแดงก่ำขลิบดำ ไมล์สคิดว่ามันออกจะเป็นทางการเกินโอกาสไปหน่อย องครักษ์ชาวบาร์รายาร์ในเครื่องแบบปกติสีเขียวสี่นายยืนประกบเขาไว้ เจ้าหน้าที่ประจําสถานีชาวเซตากันดาสองคนซึ่งสวมชุดสีม่วงอ่อนขลิบเทาทรงคล้ายกับผู้บุกรุกแต่มีรายละเอียดมากกว่ายืนห่างจากชาวบาร์รายาร์ไปเล็กน้อย

มีแค่เจ้าหน้าที่ประจําสถานีสองคนเนี่ยนะ ตำรวจ หน่วยข่าวกรองทหาร หรืออย่างน้อยที่สุดก็คนของขุนนางเจ็มสักก๊กหนึ่ง คำถามและคนถามที่ไมล์สตั้งหน้าตั้งตารอวิเคราะห์อยู่หายไปไหนกัน

สุดท้ายแล้วเขาก็พบว่าตัวเองกำลังทักทายท่านทูตวอร์ร็อบเยฟราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยบทที่ซ้อมไว้ในทีแรก วอร์ร็อบเยฟเป็นคนรุ่นเดียวกับท่านพ่อของไมล์สและเป็นคนที่ท่านพ่อแต่งตั้งเองตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นผู้สำเร็จราชการ วอร์ร็อบเยฟดำรงตำแหน่งที่มีความสำคัญยิ่งยวดนี้มาได้หกปีแล้ว หลังเกษียณตัวเองจากราชการทหารมารับใช้ชาติในฐานะข้าราชการพลเรือนแทน ไมล์สยั้งตัวเองไว้ไม่ให้ทำวันทยหัตถ์เคารพอีกฝ่าย เพียงแต่พยักหน้าทักทายอย่างเป็นทางการเท่านั้น

“สวัสดียามบ่ายขอรับลอร์ดวอร์ร็อบเยฟ ท่านพ่อฝากคำทักทายมาพร้อมกับเอกสารเหล่านี้ขอรับ”

ไมล์สส่งแผ่นดิสก์บรรจุข้อมูลทางการทูตซึ่งปิดผนึกไว้ให้อีกฝ่าย และเจ้าหน้าที่ฝ่ายเซตากันดาก็บันทึกข้อมูลตามหน้าที่ “สัมภาระหกชิ้นใช่ไหมครับ” เจ้าหน้าที่ชาวเซตากันดาขยับศีรษะเป็นเชิงถามหลังนักบินขนของมาเรียงซ้อนไว้บนแพเหาะที่จอดรออยู่เรียบร้อย ทำวันทยหัตถ์เคารพไมล์ส แล้วกลับไปที่ยาน

“ใช่ เท่านี้ละ” อิวานตอบ ในสายตาของไมล์สนั้น อิวานดูเกร็งๆ มีลับลมคมในและพะวงเรื่องของผิดกฎหมายในกระเป๋าอย่างเห็นได้ชัด แต่ดูเหมือนเจ้าหน้าที่ชาวเซตากันดาจะอ่านสีหน้าของอิวานได้ไม่เก่งเท่าไมล์ส

เมื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายเซตากันดาโบกมือ ท่านทูตก็ผงกศีรษะสั่งให้องครักษ์สองนายแยกไปประกบสัมภาระที่ต้องผ่านการตรวจสอบจากเจ้าบ้าน เจ้าหน้าที่ชาวเซตากันดาปิดประตูช่องเทียบยานแล้วบังคับแพเหาะออกไป

อิวานมองตามไปอย่างกังวล “เราจะได้คืนมาครบทุกชิ้นไหมขอรับ”

“ได้สิ หลังล่าช้านิดหน่อยตามธรรมเนียม” วอร์ร็อบเยฟเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อน “การเดินทางเป็นอย่างไรบ้างหนุ่มๆ”

“ราบรื่นไม่มีเหตุอันใดขอรับ” ไมล์สต่อก่อนที่อิวานจะทันอ้าปาก “เพิ่งจะมามีเหตุก็ที่นี่ พวกเขาต้อนรับแขกชาวบาร์รายาร์ที่นี่เสมอหรือว่ามีเหตุอันใดให้เปลี่ยนแปลงสถานที่ขอรับ” ไมล์สเหล่มองเจ้าหน้าที่เซตากันดาที่เหลืออยู่อีกคน คอยสังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่าย

วอร์ร็อบเยฟยิ้มหยัน “การสั่งให้เราเข้าทางประตูคนงานก็เป็นแค่ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ที่พวกเซตากันดาใช้ตอกย้ำให้เรารู้ที่ต่ำที่สูง เธอคิดถูกแล้ว นี่เป็นการจงใจหยามเกียรติเพื่อกวนประสาทเรา ฉันเลิกสนใจมาหลายปีแล้ว และขอแนะนำให้เธอทำแบบเดียวกัน”

เจ้าหน้าที่ฝ่ายเซตากันดาไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ วอร์ร็อบเยฟทำเหมือนเขาเป็นแค่เครื่องเรือนชิ้นหนึ่ง ส่วนอีกฝ่ายก็ตอบรับด้วยการทำตัวให้เหมือนเครื่องเรือนจริงๆ ดูเหมือนจะเป็นธรรมเนียมของทั้งคู่

“ขอบคุณขอรับ กระผมจะทำตามคำแนะนำของท่าน ว่าแต่…ท่านเองก็ถูกเตะถ่วงเหมือนกันหรือเปล่าขอรับ พวกเราเจอลูกไม้นั้นเข้า นายสถานีอนุญาตให้เราเข้าเทียบท่าไปแล้วรอบหนึ่งก่อนจะสั่งให้เราออกไปเข้าคิวรออีกรอบ”

“ลูกไม้วันนี้ดูจะซับซ้อนเป็นพิเศษนะ ถือว่าเป็นเกียรติละกันท่านสุภาพบุรุษ เชิญทางนี้”

อิวานส่งสายตาอ้อนวอนมาทางไมล์สขณะที่วอร์ร็อบเยฟหันไปทางอื่น ไมล์สสั่นศีรษะนิดหนึ่ง รอก่อนน่า…

ชายหนุ่มทั้งสองเดินตามวอร์ร็อบเยฟขึ้นไปยังชั้นบนของสถานีโดยมีองครักษ์จากสถานทูตคอยประกบและเจ้าหน้าที่เซตากันดาหน้าตายเป็นผู้นำทาง ยานลงสู่ภาคพื้นดินของสถานทูตบาร์รายาร์เทียบท่าอยู่ที่ช่องจอดยานโดยสารของจริง ซึ่งมาพร้อมกับห้องรับรองสุดหรูและปล่องเชื่อมที่ติดตั้งระบบแรงโน้มถ่วงจำลองทำให้ผู้โดยสารไม่ต้องลอยเท้งเต้ง เมื่อถึงตรงนี้ผู้คุมชาวเซตากันดาก็ผละจากไป ท่านทูตดูผ่อนคลายขึ้นทันทีที่ขึ้นยาน เขาพาไมล์สและอิวานไปยังเก้าอี้นวมหนานุ่มซึ่งตั้งอยู่รอบโต๊ะคอมคอนโซลที่ยึดเข้ากับพื้นยาน วอร์ร็อบเยฟพยักหน้าเป็นสัญญาณและองครักษ์นายหนึ่งก็ขยับเข้ามานำเสนอเครื่องดื่มเพื่อฆ่าเวลาขณะรอสัมภาระและคำอนุญาตให้ออกยาน ทั้งสองเลือกไวน์บาร์รายาร์รสนุ่มตามอย่างวอร์ร็อบเยฟ ไมล์สแทบไม่ได้จิบสักคำเพราะกลัวหัวจะไม่แล่น ขณะที่อิวานกับท่านทูตพูดคุยเรื่องสัพเพเหระว่าด้วยการเดินทางและมิตรสหายชาววอร์ที่ทั้งสองมีร่วมกัน ดูเหมือนวอร์ร็อบเยฟจะรู้จักกับแม่ของอิวาน ไมล์สทำเป็นไม่เห็นท่าเลิกคิ้วเป็นพักๆ ของอิวานอันเป็นคำเชิญไร้เสียงให้เขาเข้าร่วมวงและเล่าเรื่องการผจญภัยสั้นๆ กับผู้บุกรุกให้ลอร์ดวอร์ร็อบเยฟฟัง

ทำไมทางการเซตากันดายังไม่แห่กันมารุมสอบปากคำอีกนะ ไมล์สทบทวนความเป็นไปได้ในสมองที่ทำงานจนร้อนจี๋

มันเป็นอุบาย เราเพิ่งเผลองับเหยื่อ ส่วนพวกนั้นก็กำลังผ่อนสายเบ็ดให้เราตายใจ เท่าที่รู้จักพวกเซตากันดามา ไมล์สคิดว่าสถานการณ์นี้มีความเป็นไปได้สูงสุด

หรืออาจจะแค่ล่าช้า อีกสักพักพวกนั้นก็จะตามมาเอง หรือ…อาจจะหลายๆ พัก พวกเขาต้องจับกุมผู้หลบหนีให้ได้ก่อน จากนั้นก็ต้องถูกเค้นให้คายสิ่งที่เกิดขึ้นออกมา ของพรรค์นี้อาจต้องใช้เวลา ยิ่งถ้าหมอนั่นถูกชอร์ตจนหมดสติไประหว่างจับกุมด้วยแล้ว ถ้าหมอนั่นเป็นผู้หลบหนีจริงๆ น่ะนะ และถ้าเจ้าหน้าที่ประจําสถานีไล่ค้นหาไปตามช่องเทียบยาน และถ้า…ไมล์สเพ่งแก้วเจียระไนในมือแล้วกลืนของเหลวสีแดงก่ำกรุ่นกลิ่นควันไม้เข้าไปเต็มคำ ก่อนจะยิ้มให้อิวานอย่างอารมณ์ดี

สัมภาระพร้อมองครักษ์เดินทางมาถึงเมื่อดื่มหมดแก้วพอดี ซึ่งน่าจะเป็นผลลัพธ์จากการกะเวลาอย่างผู้มีประสบการณ์ของวอร์ร็อบเยฟ เมื่อท่านทูตลุกขึ้นไปดูแลเรื่องสัมภาระและการออกเดินทาง อิวานก็ชะโงกข้ามโต๊ะมากระซิบใส่ไมล์สอย่างเร่งร้อน “นี่นายจะไม่เล่าให้เขาฟังเรอะ”

“ไม่ใช่ตอนนี้”

“ทำไมล่ะ”

“นายอยากให้ปืนตัดขั้วประสาทกระบอกนั้นหลุดมือไปเร็วนักหรือไง พนันได้เลยว่าสถานทูตต้องยึดมันไปเร็วไม่แพ้พวกเซตากันดา”

“ช่างหัวปืนนั่นเหอะ นายมีแผนอะไรในใจ”

“ฉันก็…ไม่แน่ใจ ยังไม่แน่ใจ” สถานการณ์ไม่ได้ดำเนินไปอย่างที่ไมล์สคาด เขานึกว่าจะได้ต่อปากต่อคำกับเจ้าหน้าที่เซตากันดาสักฝูงขณะที่พวกนั้นกดดันให้เขาคายสมบัติที่ชิงมาได้ และเก็บเกี่ยวข้อมูลเพิ่มเติมไม่ว่าอีกฝ่ายจะให้โดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ไม่ใช่ความผิดของไมล์สเสียหน่อยที่พวกเซตากันดาไม่ยอมเล่นตามบท

“อย่างน้อยๆ เราก็ต้องรายงานให้ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารประจำสถานทูตรับรู้”

“รายงานน่ะใช่ แต่ผิดคนแล้ว อิลลิยันบอกว่าถ้าฉันเจอปัญหาอะไรเข้า—หมายถึงปัญหาที่เป็นงานของแผนกเรา—ให้ฉันไปหาลอร์ดวอร์รีดี้ เขามีชื่อเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายพิธีการ แต่ความจริงแล้วเป็นผู้พันในสังกัดอิมพ์เซคและเป็นหัวหน้าอิมพ์เซคที่นี่”

“แล้วพวกเซตากันดาไม่รู้เรอะ”

“ก็ต้องรู้อยู่แล้ว เหมือนกับที่เรารู้ว่าใครเป็นใครบ้างในสถานทูตเซตากันดาที่วอร์บาร์สุลตาน่า มันก็แค่นิยายทางกฎหมายเท่านั้นละ ไม่ต้องห่วงน่า เดี๋ยวฉันจัดการเอง” ไมล์สแอบถอนใจ ทันทีที่ได้รับเรื่อง ผู้พันต้องตัดเขาออกจากวงข่าวแน่ๆ และเขาก็ไม่กล้าอธิบายให้ลอร์ดวอร์รีดี้ฟังว่าเหตุใดจึงไม่ควรทำเช่นนั้น

อิวานเอนหลังพิงเก้าอี้ ยอมเงียบไปครู่หนึ่ง แต่ก็ครู่เดียวเท่านั้นละ ไมล์สมั่นใจ

วอร์ร็อบเยฟกลับมานั่งลงแล้วคลำหาสายรั้งนิรภัย “เรียบร้อยแล้ว ท่านสุภาพบุรุษ ไม่มีของหายไม่มีของเกิน ขอต้อนรับสู่ดาวเอตาเซตา 4 วันนี้ไม่มีงานพิธีการที่พวกเธอจำเป็นต้องเข้าร่วม แต่หากไม่เหนื่อยจากการเดินทางจนเกินไป คืนนี้สถานทูตมารีแล็คมีงานเลี้ยงต้อนรับทูตานุทูตและอาคันตุกะอย่างไม่เป็นทางการ ฉันแนะนำให้ไปนะ”

“แนะนำหรือขอรับ” ไมล์สทวนคำ หากใครสักคนซึ่งมีหน้าที่การงานอันยืนยาวและโดดเด่นอย่างวอร์ร็อบเยฟเอ่ยปากแนะนำ ไมล์สก็รู้สึกว่าควรปฏิบัติตาม

“ในช่วงสองสัปดาห์ข้างหน้า พวกเธอจะได้เจอคนเหล่านี้อีกหลายหน” วอร์ร็อบเยฟว่า “งานนี้น่าจะถือเป็นการปฐมนิเทศที่ดี”

“เราควรแต่งตัวอย่างไรดีขอรับ” อิวานถาม สัมภาระหกชิ้นนั่นเป็นของเขาไปสี่ชิ้น

“เครื่องแบบปกติก็พอ” วอร์ร็อบเยฟตอบ “การแต่งกายถือเป็นภาษาอย่างหนึ่งในทุกๆ วัฒนธรรม แต่ที่นี่มันแทบจะเป็นรหัสลับเลยทีเดียว แค่การวางตัวในหมู่เจ็มโดยไม่เผลอก้าวพลาดก็ยากจะแย่แล้ว ยิ่งในหมู่โฮตยิ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่การสวมเครื่องแบบถือเป็นคำตอบที่ถูกต้องเสมอ หรือต่อให้ไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดของผู้สวม เพราะเขาไม่มีทางเลือกอื่น เดี๋ยวฉันจะให้เจ้าหน้าที่พิธีการส่งรายการเครื่องแบบสำหรับแต่ละงานให้อีกที”

ไมล์สโล่งอกขณะที่อิวานดูผิดหวังหน่อยๆ

ปล่องเชื่อมส่งเสียงกึงกังและฟู่เบาๆ ตามปกติเมื่อถูกปลดออก และยานก็เคลื่อนตัวออกจากด้านข้างของสถานี ไม่มีเจ้าหน้าที่กรูเข้ามาพร้อมจับกุม ไม่มีข้อความฉุกเฉินที่เร่งให้ท่านทูตรีบออกจากสถานี ไมล์สพิจารณาความเป็นไปได้ลำดับสาม

ผู้บุกรุกหนีไปโดยไร้ร่องรอย เจ้าหน้าที่ประจําสถานีไม่ระแคะระคายเรื่องการพบปะสั้นๆ นั้นเลยสักนิด อันที่จริงแล้วไม่มีใครระแคะระคายสักคน

เว้นแต่ตัวผู้บุกรุกเอง ไมล์สวางมือไว้ข้างตัว ไม่ให้เผลอแตะแท่งโลหะที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อ ไม่ว่าสิ่งนี้จะคืออะไร หมอนั่นก็รู้ว่าไมล์สได้มันไป และการสืบหาตัวไมล์สก็ไม่ใช่เรื่องยาก นายติดบ่วงฉันแล้ว ถ้าฉันจับเชือกไว้ให้มั่นๆ ก็ต้องสาวได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาบ้างใช่ไหม งานนี้อาจเป็นโอกาสให้ไมล์สได้ซ้อมวิชาต่อต้านจารกรรมเล่นๆ ซึ่งดีกว่าสถานการณ์จำลองตั้งเยอะเพราะมันเป็นของจริง ไม่มีครูถือโพยคอยซุ่มจดความผิดพลาดทั้งหลายของเขาไว้วิจารณ์ให้เละในภายหลัง ถือเป็นสนามซ้อมที่ดี เมื่อถึงจุดหนึ่งนายทหารก็ต้องเลิกทำตามคำสั่งและเปลี่ยนเป็นฝ่ายออกคำสั่งและไมล์สก็หมายตาตำแหน่งนาวาเอกแห่งอิมพ์เซคไว้ ไม่รู้ว่าจะพอเกลี้ยกล่อมให้วอร์รีดี้ยอมให้ไมล์สไขปริศนานี้ต่อทั้งที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ทางการทูตไปพร้อมกันได้ไหม

ไมล์สหรี่ตาด้วยความตื่นเต้น ขณะที่ยานลดระดับลงไปยังชั้นบรรยากาศขาวขุ่นของเอตาเซตา

Share this:

  • Click to share on Facebook (Opens in new window)
  • Click to share on Twitter (Opens in new window)
  • Click to share on Tumblr (Opens in new window)
  • ตัวอย่างหนังสือ

ตัวอย่างทดลองอ่าน “เดอะโฟลด์ วงแหวนพับมิติ”

solisbooks September 15, 2020

ประตูด้านหลังอยู่ไกลกว่า แต่มีที่หลบหลีกมากกว่า และคนคนนั้นต้องเข้ามาใกล้มากกว่าเพื่อจะเล็งปืน—เพื่อจะได้มองเห็นเธอ เบ็กกี้จะมีโอกาสโทรศัพท์ แต่สนามหลังบ้านเป็นกำแพงรั้วล้อมรอบสระน้ำที่ยังไม่ได้ใส่น้ำสำหรับหน้าร้อน เธอจะต้องวิ่งอ้อมกลับไปที่ประตูเล็ก และจะไม่มีใครเห็นเธอ อาจจะไม่ได้ยินเสียงเธอด้วยซ้ำ เพราะเสียงวุ่นวายจากบ้านหลังใหม่ที่กำลังสร้างอยู่อีกบล็อกถัดไป

Read More "ตัวอย่างทดลองอ่าน “เดอะโฟลด์ วงแหวนพับมิติ”"

  • ตัวอย่างหนังสือ

ตัวอย่าง “วอร์โคสิกัน วอร์เกม”

solisbooks March 9, 2020

“ฉันได้รับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายอุตุนิยมวิทยา ฐานทัพลาซโควสกี้ ไอ้ฐานทัพลาซโควสกี้นี่มันที่ไหนกันหา ไม่เคยได้ยินชื่อด้วยซ้ำ!”

จ่าที่โต๊ะเงยหน้าขึ้นยิ้มชั่วร้ายทันที “กระผมเคยครับ” เขาเอ่ย “มันตั้งอยู่บนเกาะไคริล ใกล้กับขั้วโลกเหนือ เป็นฐานฝึกฤดูหนาวของพวกทหารราบ พวกนักเรียนนายสิบเรียกมันว่าค่ายหิมะพันปี”

Read More "ตัวอย่าง “วอร์โคสิกัน วอร์เกม”"

  • ตัวอย่างหนังสือ

ตัวอย่าง “วอร์โคสิกัน กองพลเดนตาย”

solisbooks March 23, 2019

กระบวนการคัดเลือกผู้สมัครเข้าโรงเรียนนายร้อยแห่งกองทัพจักรวรรดิบาร์รายาร์กินเวลาหนึ่งสัปดาห์อันโหดหิน ไมล์สเพิ่งผ่านการสอบข้อเขียนและสอบปากเปล่าห้าวันไป ส่วนที่ยากจบแล้ว ใครๆก็ว่าอย่างนั้น บรรยากาศรอบตัวเขาแทบจะผ่อนคลายด้วยซ้ำ คนหนุ่มรอบตัวเขาจับกลุ่มพูดคุยหัวเราะและบ่นเรื่องความยากของข้อสอบ ความงั่งของเจ้าหน้าที่คุมสอบ อาหารห่วย ถูกปลุกกลางดึก และการก่อกวนสมาธิระหว่างสอบกันเสียเกินจริง ก็แค่การบ่นอย่างโล่งใจของผู้รอดชีวิต ทุกคนตั้งหน้าตั้งตารอการทดสอบสมรรถภาพทางกายเหมือนรอเล่นเกม เหมือนช่วงพัก ส่วนที่ยากจบไปแล้ว สําหรับทุกคน ยกเว้นไมล์ส

Read More "ตัวอย่าง “วอร์โคสิกัน กองพลเดนตาย”"

  • ตัวอย่างหนังสือ

ตัวอย่าง “ลาสต์โคโลนี ที่มั่นสุดท้าย” ครึ่งแรก

solisbooks October 10, 2018

ขอผมเล่าเรื่องเกี่ยวกับโลกหลายแห่งที่ผมทิ้งไว้เบื้องหลังให้คุณฟังสักหน่อย

โลกที่คุณรู้จัก โลกที่ใครๆก็รู้จัก มันเป็นสถานที่กำเนิดของมนุษยชาติ แม้ว่า ณ จุดนี้จะไม่ค่อยมีใครคิดว่ามันเป็นดาวเคราะห์ ‘บ้านเกิด’ แล้วก็ตาม…ดาวเคราะห์ฟีนิกซ์มารับช่วงต่อตั้งแต่สหภาพอาณานิคมถูกจัดตั้งขึ้นและกลายมาเป็นหัวหอกในการขยายและปกป้องเผ่าพันธุ์ของเราในเอกภพ แต่คุณต้องไม่มีวันลืมรากเหง้าของตัวเอง

Read More "ตัวอย่าง “ลาสต์โคโลนี ที่มั่นสุดท้าย” ครึ่งแรก"

  • ตัวอย่างหนังสือ

ตัวอย่าง “เมล็ดฝันวันสิ้นโลก”

solisbooks September 10, 2018

วันน้ีเราตื่นแต่เช้าเพราะต้องเดินทางตัดเมืองไปที่โบสถ์ วันอาทิตย์ส่วนใหญ่พ่อจะประกอบพิธีต่างๆที่ทำในโบสถ์ตรงห้องหน้าบ้านของเราแทน พ่อเป็นศาสนาจารย์คริสตจักรแบปติสต์ และถึงแม้คนที่อยู่ในกําแพงชุมชนของเราจะไม่ใช่แบปติสต์ท้ังหมด แต่คนที่รู้สึกว่าอยากไปโบสถ์ก็ยินดีที่จะมาหาเรา วิธีนี้ทําให้พวกเขาไม่ต้องเสี่ยงออกไปข้างนอกท่ีอะไรๆ ช่างอันตรายและบ้าคลั่ง แค่บางคนอย่างเช่นพ่อของฉันต้องออกไปทำงานข้างนอกอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งก็แย่พอแล้ว ไม่มีใครในหมู่พวกเราไปโรงเรียนกันอีกต่อไป ผู้ใหญ่วิตกกังวลจนไม่ยอมให้เด็กๆ ออกไปข้างนอก

Read More "ตัวอย่าง “เมล็ดฝันวันสิ้นโลก”"

  • ตัวอย่างหนังสือ

ตัวอย่าง “โฟร์ทีน จักรกลมรณะ”

solisbooks May 8, 2020

เขาวิ่ง

เขาวิ่งสุดฝีเท้า เหมือนนรกกำลังไล่ล่า เหมือนชีวิตของเขาขึ้นอยู่กับการวิ่งนี้

เขาแน่ใจว่าเป็นอย่างนั้น

ความจริงก็คือ เขาตายไปแล้ว เขาเห็นคนเสียเลือดจนตายในห้องผ่าตัดมามากพอจนรู้ว่าชีพจรกำลังฉีดเลือดให้พุ่งออกมาระหว่างซี่โครงของเขา มีดนั้นทำงานได้แม่นยำเกือบจะเท่ามีดผ่าตัดเลยทีเดียว

แต่เขาต้องไม่คิดถึงตัวเอง ไม่ใช่ตอนนี้ เสี่ยงเกินไป เขาต้องวิ่งต่อไปเรื่อยๆ

ถ้าพวกเดอะแฟมิลีจับเขาได้ ทุกคนจะต้องตาย

Read More "ตัวอย่าง “โฟร์ทีน จักรกลมรณะ”"

  • ตัวอย่างหนังสือ

ตัวอย่าง “ลาสต์โคโลนี ที่มั่นสุดท้าย” (ครึ่งหลัง)

solisbooks October 15, 2018

นี่ทำให้ผมกับเจนต้องสบตากันอีกครั้ง สมาชิกซีดีเอฟมีผิวหนังสีเขียว ซึ่งเป็นผลมาจากการตัดแต่งคลอโรฟิลล์เพื่อสร้างพลังงานในการต่อสู้ ทั้งเจนและผมต่างเคยตัวเขียวกันมาแล้ว ผมได้กลับมามีสีผิวแบบดั้งเดิม ส่วนเจนได้รับอนุญาตให้เลือกสีผิวมาตรฐานตอนเธอย้ายร่าง

Read More "ตัวอย่าง “ลาสต์โคโลนี ที่มั่นสุดท้าย” (ครึ่งหลัง)"

  • ตัวอย่างหนังสือ

Old Man’s War Sample บทที่หนึ่ง (ครึ่งหลัง)

solisbooks September 4, 2017

_DSC0s076

โอลด์แมนส์วอร์ ปฐมบทสงครามข้ามเอกภพ

John Scalzi เขียน ดาวิษ ชาญชัยวานิช แปล

©Copyright 2016 Solis Publishing All Rights Reserved

 

อ่านตัวอย่างครึ่งแรกได้ที่นี่ค่ะ

 

บทที่หนึ่ง (ครึ่งหลัง)

“มาหรือไป” เธอทวนคำ “เข้ามาเซ็นเอกสารแสดงความจำนง หรือจะไปเริ่มประจำการแล้ว”

“อ่อ งั้นก็ไปครับ”

คำตอบนี้ทำให้เธอยอมเงยหน้าขึ้นมา เธอหรี่ตามองผมผ่านกรอบแว่นที่ออกจะดูเคร่งขรึม “คุณคือจอห์น เพอร์รีย์สินะ” เธอบอก

“ใช่แล้ว คุณเดาถูกได้ยังไง”

เธอหันกลับไปยังคอมพิวเตอร์ “คนส่วนใหญ่ที่อยากเป็นทหารมักจะมาสมัครในวันเกิด ถึงแม้จะมีเวลาให้สมัครได้อีกสามสิบวันหลังจากนั้นก็ตาม เรามีคนที่เกิดวันนี้ทั้งหมดสามคน แมรี วาลอรีโทรมาบอกแล้วว่าเธอไม่ไป และคุณก็ดูแล้วไม่น่าใช่ซินเทีย สมิธ”

“ดีใจจริงๆที่ได้ยินอย่างนั้น” ผมบอก

“และเนื่องจากคุณไม่ได้มาที่นี่เพื่อเขียนใบสมัครเบื้องต้น” เธอพูดต่อโดยไม่สนใจความพยายามที่จะพูดติดตลกของผม “มันก็สมเหตุสมผลที่คุณจะเป็นจอห์น เพอร์รีย์”

“ผมอาจเป็นแค่ตาแก่ที่เหงามากเลยเดินเข้ามาหาคนคุยด้วยส่งเดชก็ได้” ผมบอก

“เราไม่ค่อยเจอแบบนั้นสักเท่าไหร่” เธอว่า “เพราะส่วนใหญ่จะตกใจกลัวพวกเด็กๆร้านข้างๆที่มีรอยสักรูปปีศาจจนเตลิดหนีไป” สุดท้ายเธอก็เลื่อนคีย์บอร์ดออกไปแล้วหันมาสนใจผมอย่างเต็มที่ “ทีนี้ก็ขอบัตรประจำตัวด้วยค่ะ”

“แต่คุณรู้อยู่แล้วนี่ว่าผมเป็นใคร” ผมเตือนความจำ

“เพื่อความแน่ใจ” เธอพูดโดยไม่มีเค้าแห่งรอยยิ้มแม้แต่น้อย การต้องรับมือกับตาแก่ปากเสียเป็นรายวันดูท่าจะส่งผลกับเธอไม่มากก็น้อย

ผมยื่นใบขับขี่ สูติบัตร และบัตรประชาชนให้เธอ เธอรับไว้แล้วหยิบแผ่นแฮนด์แพ็ดออกมาเสียบกับคอมพิวเตอร์ เสร็จแล้วก็เลื่อนมาให้ผม ผมเอามือวางบนนั้น รอจนเครื่องสแกนเสร็จ เธอเก็บแผ่นแฮนด์แพ็ดกลับไปแล้วหยิบบัตรประชาชนมารูดเพื่อเทียบดูให้แน่ใจว่าข้อมูลถูกต้องตรงกัน “คุณคือจอห์น เพอร์รีย์” เธอพูดขึ้นในที่สุด

“แล้วเราก็วนกลับมาที่จุดเริ่มต้นกันใหม่” ผมบอก

เธอไม่สนใจผมอีกแล้ว “สิบปีก่อน ในระหว่างการปฐมนิเทศเพื่อแสดงความจำนง คุณได้รับข้อมูลเกี่ยวกับกองกำลังป้องกันอาณานิคมไปแล้ว รวมถึงภาระหน้าที่ที่คุณจะต้องแบกรับหากเข้าร่วมกับซีดีเอฟ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งชี้ว่าพูดมาแล้วทุกวัน อย่างน้อยวันละครั้ง แทบจะตลอดชีวิตการทำงานที่ผ่านมา “นอกจากนั้น ในช่วงระหว่างกาล ทางเรายังได้จัดส่งเอกสารทบทวนไปให้คุณอีกด้วย เพื่อย้ำเตือนถึงภาระหน้าที่ที่คุณจะต้องแบกรับ

“ซึ่ง ณ จุดนี้ คุณยังต้องการดูพรีเซนเทชั่นทบทวนหรือข้อมูลใดๆเพิ่มเติมอีกหรือไม่ หรือคุณขอแถลงว่าคุณเข้าใจถึงภาระหน้าที่ที่จะต้องแบกรับเป็นอย่างดี ขอให้รู้ไว้ว่าในขั้นตอนนี้ การขอเอกสารทบทวนหรือการปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกับซีดีเอฟยังไม่ถือว่ามีความผิด”

ผมจำการปฐมนิเทศตอนนั้นได้ ส่วนแรกประกอบด้วยพลเมืองสูงอายุกลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้พับภายในศูนย์ชุมชนกรีนวิลล์ พวกเขากินโดนัทและดื่มกาแฟขณะนั่งฟังสหายจากกองกำลังซีดีเอฟร่ายยาวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของอาณานิคมมนุษย์ เสร็จแล้วเจ้าหน้าที่คนนั้นก็ยื่นจุลสารเกี่ยวกับชีวิตของทหารประจำการในกองกำลังซีดีเอฟให้ ซึ่งก็ดูไม่แตกต่างอะไรจากชีวิตทหารที่อื่น ในช่วงถาม-ตอบพวกเราถึงค่อยรู้ว่าเจ้าหน้าที่คนนี้ไม่ได้ทำงานในกองกำลังซีดีเอฟ แค่ถูกจ้างมาจัดการพรีเซนต์ในพื้นที่ไมอามีวัลเลย์เท่านั้น

ส่วนที่สองของการปฐมนิเทศวันนั้นคือการตรวจร่างกายเบื้องต้น…หมอคนหนึ่งเดินเข้ามาเก็บตัวอย่างเลือดของพวกเรา เอาสำลีถูกระพุ้งแก้มเพื่อเก็บตัวอย่างเซลล์ นอกจากนั้นก็ยังมีการสแกนสมองอีก ซึ่งดูท่าว่าผมจะผ่าน หลังจากนั้นพวกเขาก็ส่งจุลสารฉบับเดิมฉบับนั้นมาที่บ้านผมปีละครั้ง หลังจากปีที่สองเป็นต้นไป ผมก็เริ่มโยนมันทิ้ง ไม่ได้อ่านอีกเลย

“ผมเข้าใจ” ผมบอก

เธอพยักหน้าแล้วหยิบปากกากระดาษออกมาจากโต๊ะ ยื่นให้ผม กระดาษแผ่นนั้นมีหลายย่อหน้า แต่ละย่อหน้ามีช่องว่างสำหรับเซ็นชื่ออยู่ข้างล่าง ผมจำเอกสารแผ่นนี้ได้ เคยเซ็นคล้ายๆกันมาแล้วเมื่อสิบปีก่อน ข้อความนั้นระบุว่าผมเข้าใจดีถึงสิ่งที่ตัวเองจะต้องเผชิญในอีกทศวรรษข้างหน้า

“ฉันจะอ่านข้อความในแต่ละย่อหน้าให้ฟัง” เธอบอก “และพอตอนท้ายของแต่ละย่อหน้า ถ้าคุณเข้าใจและยอมรับข้อความดังกล่าว กรุณาลงชื่อและวันที่บนเส้นประใต้ย่อหน้านั้นๆ ถ้ามีคำถามกรุณาถามหลังจากฉันอ่านจบย่อหน้าแล้ว ถ้าคุณไม่เข้าใจหรือไม่ยอมรับข้อความที่ฉันอ่านและอธิบายให้ฟัง กรุณาอย่าลงชื่อ คุณเข้าใจไหมคะ”

“เข้าใจ” ผมบอก

“ดีมาก” เธอพูดต่อ “ย่อหน้าที่หนึ่ง ข้าพเจ้า ผู้ลงนาม ยอมรับและเข้าใจเป็นอย่างดีว่าข้าพเจ้ามีอิสระและมีความตั้งใจเป็นของตนเองที่จะอาสาสมัครเข้าร่วมกองกำลังป้องกันอาณานิคมโดยปราศจากการบีบบังคับแต่อย่างใด ระยะเวลาคือไม่น้อยกว่าสองปี นอกจากนั้นยังเข้าใจว่าในช่วงสงครามและความบีบคั้น กองกำลังป้องกันอาณานิคมสามารถยืดระยะเวลาออกไปได้อีกแปดปี แต่ไม่สามารถลดได้”

ไอ้เงื่อนไขเพิ่มเติม “รวมทั้งสิ้นสิบปี” เนี่ยไม่ใช่ข่าวใหม่สำหรับผม…คือผมเคยอ่านเอกสารที่พวกเขาส่งมาอยู่ครั้งสองครั้ง…อย่างไรก็ตาม ผมสงสัยว่าจะมีสักกี่คนที่อ่านข้ามมันไป และสำหรับคนที่ได้อ่าน มันจะมีสักกี่คนกันนะที่คิดว่าตัวเองจะต้องไปเป็นทหารถึงสิบปีจริงๆ ความรู้สึกของผมก็คือกองกำลังซีดีเอฟคงไม่ขอเผื่อเวลาเอาไว้สิบปีหรอกถ้าพวกเขาไม่คิดว่ามันจะมีความจำเป็น กฎหมายการกักด่านทำให้พวกเราที่นี่ไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับสงครามอาณานิคมมากนัก แต่เท่าที่ได้ยินมาก็ทำให้เรารู้แล้วว่าตอนนี้เอกภพไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาแห่งความสงบสุข

ผมลงชื่อ

“ย่อหน้าที่สอง ข้าพเจ้าเข้าใจเป็นอย่างดีว่าเมื่อสมัครใจเข้าร่วมกองกำลังป้องกันอาณานิคมแล้ว ข้าพเจ้าก็เท่ากับตกลงที่จะถืออาวุธและใช้อาวุธต่ออริศัตรูแห่งสหภาพอาณานิคม ซึ่งอาจรวมถึงกองกำลังมนุษย์หน่วยอื่นๆด้วย ในระหว่างการเป็นทหาร ข้าพเจ้าจะไม่ปฏิเสธการถือและใช้อาวุธตามคำสั่ง จะไม่ยกความเชื่อหรือคติทางศาสนาขึ้นมาเป็นข้ออ้างหลีกเลี่ยงการสู้รบ”

จะมีสักกี่คนกันนะที่มาสมัครเข้ากองทัพแล้วยังอุตส่าห์ยกเรื่องความรู้สึกผิดชอบชั่วดีขึ้นมาอ้าง? ผมลงชื่อ

“ย่อหน้าที่สาม ข้าพเจ้าเข้าใจและยินยอมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่ผู้มียศสูงกว่าโดยเต็มใจและด้วยความฉับไว ตามหลักจรรยาบรรณแห่งกองกำลังป้องกันอาณานิคม”

ผมลงชื่อ

“ย่อหน้าที่สี่ ข้าพเจ้าเข้าใจเป็นอย่างดีว่าด้วยการอาสาเข้าร่วมกองกำลังป้องกันอาณานิคม ข้าพเจ้ายินยอมรับบริการทางการแพทย์ การผ่าตัด หรือการบำบัดเพื่อยกระดับความพร้อมในการสู้รบ ตามแต่ที่กองกำลังป้องกันอาณานิคมเห็นสมควร”

นี่ล่ะประเด็น นี่คือเหตุผลที่ผมกับตาแก่อายุเจ็ดสิบห้าปีคนอื่นๆอีกนับไม่ถ้วนพากันมาลงชื่อทุกปี

ผมเคยบอกปู่ของผมครั้งหนึ่งว่ากว่าผมจะอายุเท่าปู่ มนุษย์ก็คงค้นพบวิธีที่จะยืดอายุขัยออกไปได้อีกมากโขแล้ว ปู่หัวเราะและบอกว่าปู่เองก็เคยคิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ดูสิ สุดท้ายปู่ก็ยังเป็นตาแก่หงำเหงือกอยู่ดี และทีนี้ก็ถึงตาผมแล้ว ปัญหาเกี่ยวกับอายุน่ะไม่ได้ถาโถมเข้ามาใส่เราครั้งแล้วครั้งเล่าหรอกนะ…มันถาโถมเข้ามาพร้อมๆกันตูมเดียวเลย แถมยังตลอดเวลาอีกต่างหาก

คุณหยุดความแก่ไม่ได้ การบำบัดยีน การเปลี่ยนอวัยวะ และศัลยกรรมพลาสติกทำให้คุณพอมีทางสู้กับมันได้บ้าง แต่สุดท้ายความแก่จะไล่ทันคุณ พอเปลี่ยนปอดใหม่ ลิ้นหัวใจก็พัง พอเปลี่ยนหัวใจ ตับก็บวมเท่าสระว่ายน้ำเป่าลมของพวกเด็กๆ พอเปลี่ยนตับ โรคหลอดเลือดสมองก็ทำคุณก๊งๆไปอีก และนี่ล่ะคือไพ่ไม้ตายของความแก่ คือคุณเปลี่ยนสมองไม่ได้

เมื่อไม่นานมานี้ อายุขัยของมนุษย์ได้ไต่ระดับขึ้นไปจนถึงเกือบเก้าสิบปี และมันก็ย่ำอยู่ตรงนั้นมาตลอด กล่าวคือจากเดิมที่ระบุไว้ในคัมภีร์ว่า “อายุขัยเจ็ดสิบปีของมนุษย์” เราก็รีดอายุขัยมาเพิ่มได้อีกเกือบยี่สิบปี จากนั้นพระเจ้าก็ดูเหมือนจะตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าพอแล้ว มนุษย์อาจมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นได้ ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ…แต่มนุษย์จะต้องใช้เวลาที่ได้เกินมานั้นในฐานะคนแก่ อันนี้ไม่ใคร่จะมีใครไปเปลี่ยนแปลงมันได้

ฟังนะทุกคน พอคุณอายุยี่สิบห้า สามสิบห้า สี่สิบห้า หรือแม้กระทั่งห้าสิบห้า คุณยังพอมีความหวังที่จะคิดการณ์ใหญ่ได้บ้าง แต่พออายุหกสิบห้าและร่างกายมีแต่เสื่อมถอยอย่างรวดเร็วนี่สิ “บริการทางการแพทย์ การผ่าตัด หรือการบำบัด” ซึ่งฟังดูคลุมเครือๆนี่ก็ชักจะน่าสนใจขึ้นมาทันที พอจากนั้นคุณก็อายุเจ็ดสิบห้า เพื่อนๆตายหมดแล้ว คุณเคยเปลี่ยนอวัยวะชิ้นสำคัญๆมาอย่างน้อยหนึ่งชิ้น คุณต้องลุกไปฉี่สี่ครั้งต่อคืน จะขึ้นลงบันไดทีก็อดไม่ได้ต้องหอบนิดๆ…แล้วใครต่อใครก็ยังมาบอกอีกว่าคุณนี่ดูแข็งแรงทีเดียวนะสำหรับคนอายุเท่านี้

การเอาสิ่งนั้นไปแลกกับชีวิตที่กระชุ่มกระชวยในสนามรบสักหนึ่งทศวรรษเริ่มฟังดูเหมือนเป็นข้อต่อรองที่ดีมาก โดยเฉพาะถ้าคุณไม่ทำอย่างนั้น อีกสิบปีคุณก็อายุแปดสิบห้าแล้ว พอถึงตอนนั้น ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวระหว่างคุณกับลูกเกดก็คือทั้งคุณและลูกเกดต่างก็เหี่ยวย่นและไม่มีต่อมลูกหมากด้วยกันทั้งคู่ เพียงแต่ลูกเกดไม่มีต่อมลูกหมากมาตั้งแต่แรกแล้ว

แล้วกองกำลังซีดีเอฟย้อนกระบวนการการแก่ได้ด้วยวิธีไหนกันล่ะ อันนี้ไม่มีใครบนโลกรู้คำตอบ นักวิทยาศาสตร์บนโลกอธิบายไม่ได้ว่าพวกเขาทำได้อย่างไร จึงไม่สามารถเลียนแบบกระบวนการได้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยลองนะ กองกำลังซีดีเอฟไม่มีการปฏิบัติภารกิจบนโลก คุณเลยจะไปถามทหารผ่านศึกของซีดีเอฟไม่ได้ อย่างไรก็ตาม กองกำลังซีดีเอฟเกณฑ์คนแค่จากบนโลกเท่านั้น ดังนั้นต่อให้คุณไปถามชาวอาณานิคมได้ เขาก็จะไม่รู้คำตอบเหมือนกัน ซึ่งความจริงแล้วคุณก็ไปถามไม่ได้อยู่ดี ไม่ว่ากองกำลังซีดีเอฟจะใช้กระบวนการอะไร พวกเขาก็ทำมันเฉพาะในเขตอวกาศนอกดาวเคราะห์ และทำในเขตอำนาจของกองกำลังซีดีเอฟเท่านั้น ห่างไกลจากสายตาของรัฐบาลโลกและรัฐบาลแห่งชาติ จึงไม่มีความช่วยเหลือจากลุงแซมหรือใครทั้งสิ้น

นานๆครั้งจะมีผู้ออกกฎหมาย ประธานาธิบดี หรือไม่ก็เผด็จการสักคนประกาศแบนการเกณฑ์ทหารของกองกำลังซีดีเอฟจนกว่าพวกเขาจะยอมเปิดเผยความลับ กองกำลังซีดีเอฟก็ไม่เคยโต้แย้ง พวกเขาเพียงแค่เก็บกระเป๋าแล้วไปเลย แต่หลังจากนั้น คนอายุเจ็ดสิบห้าทุกคนในประเทศก็จะเริ่มออกเดินทางไกลโดยไม่กลับมาอีก กองกำลังซีดีเอฟไม่ให้คำอธิบายใดๆ ไม่ให้เหตุผลหรือแม้แต่เบาะแส และถ้าคุณอยากรู้ว่าพวกเขาทำให้คนกลับมาหนุ่มแน่นอีกครั้งได้อย่างไร คุณก็ต้องลงชื่อ

ผมลงชื่อ

“ย่อหน้าที่ห้า ข้าพเจ้าเข้าใจเป็นอย่างดีว่าด้วยการอาสาเข้าร่วมกองกำลังป้องกันอาณานิคม ข้าพเจ้าถือว่าได้เพิกถอนความเป็นพลเมืองตามสิทธิ์แห่งอาณาเขตทางการเมือง(ซึ่งในกรณีนี้คือสหรัฐอเมริกา) รวมไปถึงสิทธิ์แห่งการพำนักในอาณาเขตอื่นๆบนโลกที่พ่วงมาพร้อมกับสิทธิ์หลัก ข้าพเจ้าเข้าใจเป็นอย่างดีว่าสิทธิ์แห่งความเป็นพลเมืองของข้าพเจ้าจะถูกถ่ายโอนไปยังสหภาพอาณานิคม กล่าวโดยเฉพาะเจาะจงคือกองกำลังป้องกันอาณานิคม ต่อเนื่องเป็นลำดับกัน ข้าพเจ้ารับทราบและเข้าใจเป็นอย่างดีว่าเมื่อเพิกถอนสิทธิ์ความเป็นพลเมืองท้องถิ่นรวมถึงสิทธิ์แห่งการพำนักอาศัยในอาณาเขตใดๆบนโลกไปแล้ว ข้าพเจ้าเท่ากับหมดสิทธิ์ที่จะกลับมายังโลก และเมื่อหมดวาระการทำหน้าที่ในกองกำลังป้องกันอาณานิคมแล้ว ข้าพเจ้าจะได้ย้ายถิ่นฐานไปยังอาณานิคมใดก็ตามที่สหภาพอาณานิคม และ/หรือ กองกำลังป้องกันอาณานิคมเห็นสมควร”

พูดให้ง่ายกว่านั้นคือคุณกลับบ้านไม่ได้แล้ว นี่เป็นหลักใหญ่ใจความของกฎหมายการกักด่าน ซึ่งบังคับใช้โดยสหภาพอาณานิคมและกองกำลังซีดีเอฟ(อย่างน้อยก็อย่างเป็นทางการ)เพื่อปกป้องโลกไม่ให้ต้องเจอกับหายนะทางชีววิทยาจากต่างดาวดังที่เคยเจอมาในอดีต ยกตัวอย่างเช่นเหตุการณ์การเป็นหมันครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ซึ่งทำให้ตอนนั้นผู้คนบนโลกต่างก็เห็นด้วยกับกฎหมายข้อนี้กันหมด ตลกดีนะว่าดาวเคราะห์สักดวงจะโดดเดี่ยวได้มากแค่ไหนถ้าภายในหนึ่งปี หนึ่งในสามของประชากรชายทั้งหมดเกิดไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้อย่างถาวร แต่ตอนนี้คนที่นี่ไม่ค่อยสนใจเรื่องนั้นกันแล้ว…พวกเขาเบื่อโลกใบนี้และอยากเห็นส่วนอื่นๆของเอกภพบ้าง แถมยังลืมเรื่องคุณทวดวอลต์ผู้เป็นหมันกันไปหมดแล้ว และก็มีแต่ซียูกับกองกำลังซีดีเอฟเท่านั้นที่มียานอวกาศซึ่งมีระบบสกิปไดร์ฟสำหรับเดินทางข้ามดวงดาว เพราะฉะนั้นมันก็เลยออกมาเป็นอย่างนี้ไงล่ะ

(นี่เลยทำให้การยินยอมตกลงจะตั้งถิ่นฐานใหม่ตามแต่ซียูจะบัญชากลายเป็นเรื่องไร้สาระไป…เพราะมีแต่พวกเขาเท่านั้นล่ะที่มียาน ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะพาคุณไปที่ไหนคุณก็ต้องไป ใช่ว่าพวกเขาจะปล่อยให้คุณขับยานเองหรืออะไรแบบนั้นสักหน่อย)

ผลข้างเคียงจากกฎหมายการกักด่านและการผูกขาดระบบสกิปไดร์ฟก็คือมันทำให้โลกกับอาณานิคมอื่นๆสื่อสารกันไม่ได้(อาณานิคมต่างๆก็สื่อสารกันเองไม่ได้ด้วยเช่นกัน) วิธีเดียวที่จะได้รับข้อความจากอาณานิคมสักแห่งคือการฝากข้อความไปกับยานที่มีระบบสกิปไดร์ฟ แล้วกองกำลังซีดีเอฟก็จะนำส่งข้อความนั้นไปยังรัฐบาลบนดาวเคราะห์ดวงต่างๆให้อย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่สำหรับคนอื่นนี่หมดสิทธิ์เลย คุณอาจจะลองตั้งจานดาวเทียมขึ้นมารอจับสัญญาณการสื่อสารจากโคโลนีทั้งหลายดูก็ได้ แต่กระทั่งอัลฟา(ซึ่งเป็นโคโลนีที่อยู่ใกล้โลกที่สุด)ก็ยังอยู่ห่างออกไปตั้งแปดสิบสามปีแสง นี่ทำให้การเมาท์อย่างเมามันระหว่างดาวเคราะห์ดวงต่างๆเป็นไปได้ยากยิ่ง

ผมไม่เคยถาม แต่ก็พอนึกภาพออกว่าคงเป็นย่อหน้านี้ล่ะมั้งที่ทำให้คนส่วนใหญ่เปลี่ยนใจ การอยากกลับไปเป็นหนุ่มสาวมันก็เรื่องหนึ่ง แต่การหันหลังให้ทุกอย่างในชีวิตที่คุณรู้จัก คนทุกคนที่คุณเคยพบหรือเคยรัก ทุกประสบการณ์ที่คุณสั่งสมเอาไว้มาตลอดช่วงเจ็ดทศวรรษครึ่ง นั่นมันเกือบจะเป็นอีกเรื่องโดยสิ้นเชิง การบอกลาชีวิตทั้งชีวิตของคุณมันไม่ใช่เรื่องง่ายแม้แต่น้อย

ผมลงชื่อ

“ย่อหน้าที่หก…ย่อหน้าสุดท้าย” เจ้าหน้าที่เกณฑ์ทหารบอก “ข้าพเจ้ารับทราบและเข้าใจเป็นอย่างดีว่าภายในเจ็ดสิบสองชั่วโมงหลังการลงชื่อในเอกสารฉบับนี้ หรือหลังจากการเดินทางออกจากโลกด้วยความช่วยเหลือของกองกำลังป้องกันอาณานิคม(ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งไหนมาก่อน) ข้าพเจ้าจะถือว่าเสียชีวิตในทางกฎหมายในอาณาเขตตามสัญชาติทางกฎหมายของตนไปแล้ว(ซึ่งในกรณีนี้คือรัฐโอไฮโอและสหรัฐอเมริกา) ทรัพย์สินใดที่ยังเหลืออยู่จะถูกจัดสรรตามกฎหมาย ภาระและความรับผิดชอบทางกฎหมายต่างๆที่ถูกไถ่ถอนด้วยการเสียชีวิตจักถูกไถ่ถอนในทันที ประวัติในทางกฎหมาย(ไม่ว่าจะเป็นคุณงามความดีหรือความอัปยศอดสู)จะถูกขีดฆ่าทิ้งด้วยประการฉะนี้ หนี้สินจะได้รับการปลดเปลื้องตามกฎหมาย ข้าพเจ้ารับทราบและเข้าใจเป็นอย่างดีว่าถ้าหากข้าพเจ้ายังไม่ได้เตรียมการเรื่องการถ่ายโอนทรัพย์สินไปยังบุตรหลาน ข้าพเจ้าสามารถขอความช่วยเหลือทางด้านกฎหมายและการเงินจากกองกำลังป้องกันอาณานิคมได้ เพื่อจัดการให้แล้วเสร็จภายในเจ็ดสิบสองชั่วโมง”

ผมลงชื่อ ฉะนั้นจะว่าไปแล้ว ตอนนี้ผมมีชีวิตเหลืออีกแค่เจ็ดสิบสองชั่วโมง

“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าผมไม่ออกจากโลกภายในเจ็ดสิบสองชั่วโมง” ผมถามขณะยื่นเอกสารคืนให้เจ้าหน้าที่

“ก็ไม่เกิดอะไรค่ะ” เธอรับเอกสารไป “ก็แค่ว่าคุณถือว่าเสียชีวิตไปแล้วในทางกฎหมาย ข้าวของทั้งหมดจะถูกจัดแบ่งตามพินัยกรรม ประกันชีวิตและประกันสุขภาพจะถูกยกเลิกหรือถ่ายโอนไปยังทายาท และเมื่อเสียชีวิตไปแล้วตามกฎหมาย คุณจะไม่ได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายอีก ทั้งจากการหมิ่นประมาทไปจนถึงการฆาตกรรม”

“งั้นถ้ามีใครเดินเข้ามาฆ่าผมตาย คนๆนั้นก็จะไม่ต้องรับโทษตามกฎหมายเลยเหรอ”

“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นนะคะ” เธอว่า “ถ้าเกิดมีใครมาฆ่าคุณในภาวะที่คุณเสียชีวิตในทางกฎหมายไปแล้ว ดิฉันเชื่อว่าในรัฐโอไฮโอ คนๆนั้นอาจถูกดำเนินคดีในข้อหา ‘ย่ำยีศพ’ ได้ค่ะ”

“น่าสนใจ” ผมบอก

“อย่างไรก็ตาม” เธอพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนน่ากลัว “ปกติจะไม่ไปไกลถึงขั้นนั้นหรอกค่ะ เพราะในระหว่างเจ็ดสิบสองชั่วโมงนี้ คุณสามารถเปลี่ยนใจเรื่องการเข้าร่วมกองทัพได้ แค่โทรหาดิฉันที่นี่ ถ้าไม่รับสายก็ฝากชื่อทิ้งไว้กับระบบตอบรับอัตโนมัติ พอยืนยันแล้วว่าคุณต้องการยกเลิกการเกณฑ์ทหารจริง คุณก็จะหลุดพ้นจากภาระผูกพันทุกประการ แต่ขอให้จำไว้ว่าการยกเลิกจะทำให้คุณหมดสิทธิ์ในการเข้าร่วมไปตลอดชีวิตที่เหลือ นี่เป็นข้อเสนอที่มีมาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”

“เข้าใจละ” ผมบอก “ผมต้องทำการปฏิญาณตนเลยรึเปล่า”

“ไม่ต้องค่ะ” เธอตอบ “ดิฉันแค่ต้องจัดการกับเอกสารและส่งมอบตั๋วให้คุณเท่านั้น” เธอหันกลับไปพิมพ์อะไรต๊อกแต๊กๆอีกสองสามนาที จากนั้นก็กดปุ่มเอ็นเทอร์ “คอมพิวเตอร์กำลังปรินต์ตั๋วให้อยู่นะคะ” เธอว่า “ใช้เวลาประมาณหนึ่งนาที”

“โอเค” ผมตอบรับ “ขอถามอะไรคุณหน่อยได้ไหม”

“ดิฉันแต่งงานแล้วค่ะ” เธอตอบ

“นั่นไม่ใช่เรื่องที่จะถาม” ผมแก้ “นี่เคยมีคนมาขอคุณแต่งงานจริงๆเหรอเนี่ย”

“ตลอดแหละค่ะ” เธอว่า “น่ารำคาญน่าดู”

“อันนั้นผมเสียใจด้วยนะ” ผมบอก เธอพยักหน้า “แต่ที่ผมจะถามคือคุณเคยเจอใครที่มาจากกองกำลังซีดีเอฟจริงๆบ้างรึเปล่า”

“หมายถึงนอกจากผู้ที่มาสมัครทหารน่ะเหรอคะ”

ผมพยักหน้า

“ไม่เคยค่ะ ซีดีเอฟมีบริษัทข้างล่างนี่ ซึ่งคอยทำหน้าที่เกณฑ์คนให้ แต่พวกเราไม่ได้มาจากกองกำลังซีดีเอฟจริงๆ ขนาดผู้บริหารระดับสูงก็ไม่น่าจะใช่คนของซีดีเอฟเลยนะคะ พวกเราได้รับข้อมูลและเอกสารต่างๆผ่านทางเจ้าหน้าที่สถานทูตสหภาพอาณานิคม ไม่ใช่จากซีดีเอฟโดยตรง ดิฉันคิดว่าพวกเขาไม่เคยมาที่โลกเองหรอกค่ะ”

“คุณไม่ตะขิดตะขวงใจเหรอที่ต้องทำงานให้กับองค์กรที่คุณไม่เคยเจอตัว”

“ไม่นี่คะ” เธอว่า “งานก็โอเค เงินก็งามจนน่าตกใจ เมื่อคำนึงถึงงบที่ใช้ตกแต่งสำนักงานห้องนี้ ยังไงก็ตาม คุณเองก็กำลังจะเข้าร่วมกับองค์กรที่คุณไม่เคยเจอตัว คุณไม่ตะขิดตะขวงใจบ้างเหรอคะ”

“ไม่นะ” ผมตอบตามตรง “ผมแก่แล้ว ภรรยาก็ตาย มันไม่ค่อยมีเหตุผลให้อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว แล้วคุณจะสมัครบ้างไหมเมื่อเวลามาถึง”

เธอยักไหล่ “ฉันไม่รังเกียจที่จะต้องแก่หรอกค่ะ”

“ตอนยังหนุ่มๆผมก็ไม่รังเกียจที่จะต้องแก่” ผมบอก “แต่พอแก่เข้าแล้วจริงๆนี่สิ ตอนนั้นล่ะที่ผมรับไม่ได้”

เครื่องปรินเตอร์ส่งเสียงครืดๆเบาๆแล้วก็คายกระดาษที่ดูคล้ายๆนามบัตรออกมา เธอยื่นให้ผม “นี่คือตั๋วของคุณ” เธอบอก “มันระบุว่าคุณคือจอห์น เพอร์รีย์และเป็นทหารเกณฑ์ของซีดีเอฟ อย่าทำหายนะคะ รถชัตเทิลจะออกจากหน้าสำนักงานในอีกสามวัน เพื่อไปส่งคุณที่สนามบินเดย์ตั้น รถออกเวลา 8:30 น. ขอแนะนำให้คุณมาก่อนเวลา คุณได้รับอนุญาตให้มีกระเป๋าถือแค่ใบเดียวเท่านั้น ดังนั้นกรุณาเลือกสิ่งของที่จะนำติดตัวไปด้วยความรอบคอบ

“จากเดย์ตั้นคุณจะขึ้นเครื่องรอบสิบเอ็ดโมงเช้าไปยังชิคาโก จากนั้นก็ขึ้นเครื่องเดลต้ารอบบ่ายสองไปยังไนโรบี ที่นั่นเวลาเร็วกว่าที่นี่เก้าชั่วโมง ดังนั้นคุณจะไปถึงตอนเที่ยงคืนตามเวลาท้องถิ่น คุณจะได้พบกับตัวแทนของซีดีเอฟ และคุณจะมีตัวเลือกว่าจะขึ้นลิฟต์ต้นถั่วไปยังสถานีโคโลเนียลสเตชั่นตอนตีสอง หรือจะพักผ่อนแล้วรอขึ้นลิฟต์ต้นถั่วตอนเก้าโมงเช้า จากตรงนั้นคุณถือว่าอยู่ในความดูแลของซีดีเอฟเป็นที่เรียบร้อย”

ผมรับตั๋วเอาไว้ “พวกคุณจะทำยังไงถ้าเที่ยวบินเลตหรือว่าดีเลย์”

“ตั้งแต่ฉันทำงานที่นี่มาห้าปียังไม่เคยมีเหตุการณ์เครื่องดีเลย์เลยแม้แต่ครั้งเดียว” เธอว่า

“โอ้โห” ผมอุทาน “อย่างนั้นรถไฟของซีดีเอฟก็คงต้องวิ่งตรงเวลาด้วยเหมือนกันแน่ๆ”

เธอมองผมหน้านิ่ง

“คือแบบ” ผมเอ่ยขึ้น “ผมพยายามเล่นมุกตั้งแต่มาถึงที่นี่แล้วน่ะ”

“ฉันรู้ค่ะ” เธอบอก “ฉันขอโทษด้วย แต่ฉันถูกผ่าตัดเอาต่อมหัวเราะออกไปตั้งแต่เด็กๆ”

“โอ้” ผมอุทาน

“นั่นเป็นมุกค่ะ” เธอพูด เสร็จแล้วก็ยืนขึ้น พร้อมกับยื่นมือออกมา

“โอ้” ผมลุกขึ้นและจับมือเธอ

“ยินดีด้วยพลทหารเกณฑ์” เธอว่า “ขอให้โชคดีในหมู่ดาวนะคะ ฉันหมายความตามนั้นจริงๆ” เธอเสริม

“ขอบคุณ” ผมบอก “ผมซาบซึ้งใจมาก” เธอพยักหน้าแล้วก็นั่งมองคอมพิวเตอร์ตามเดิม ผมถูกไล่แล้ว

ขากลับผมเห็นหญิงชราคนหนึ่งกำลังเดินตัดลานจอดรถมาที่สำนักงาน ผมเลยเดินเข้าไปหา “ซินเทีย สมิธรึเปล่าครับ” ผมถาม

“ใช่ค่ะ” เธอตอบ “คุณรู้ได้ยังไง”

“ผมแค่อยากจะบอกว่าสุขสันต์วันเกิด” ผมชี้นิ้วขึ้นฟ้า “ไว้บางทีเราอาจจะได้เจอกันอีกบนนั้น”

เธอยิ้มออกมาเมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ในที่สุดผมก็ทำให้ใครบางคนยิ้มได้สักที อะไรๆกำลังจะดีขึ้น

Share this:

  • Click to share on Facebook (Opens in new window)
  • Click to share on Twitter (Opens in new window)
  • Click to share on Tumblr (Opens in new window)
  • ตัวอย่างหนังสือ

Old Man’s War Sample บทที่หนึ่ง (ครึ่งแรก)

solisbooks August 23, 2017

Photo 8-20-2560 BE, 3 24 58 PM

โอลด์แมนส์วอร์ ปฐมบทสงครามข้ามเอกภพ

John Scalzi เขียน      ดาวิษ ชาญชัยวานิช แปล

©Copyright 2016  Solis Publishing  All Rights Reserved

 

บทที่หนึ่ง

ผมทำอยู่สองอย่างในวันเกิดปีที่เจ็ดสิบห้า คือไปเยี่ยมหลุมศพภรรยา กับสมัครเป็นทหาร

การไปเยี่ยมหลุมศพของแคธีเป็นเหตุการณ์ที่อลังการน้อยกว่าอีกเรื่อง เธอถูกฝังอยู่ที่สุสานแฮร์ริสครี้ก เลยไปตามถนนจากจุดที่ผมอาศัยและเลี้ยงดูครอบครัวไปแค่ไม่ถึงหนึ่งไมล์ การพาเธอไปอยู่ในสุสานเป็นเรื่องยาก เผลอๆจะยากเกินกว่าที่มันควรจะเป็น เพราะเราสองคนไม่มีใครคาดคิดเรื่องการฝังศพของอีกฝ่ายมาก่อน เราเลยไม่ได้เตรียมการกันไว้ ต้องบอกว่ามันเป็นเรื่องที่น่ากลัวตายชัก(ผมเลือกคำพูดได้ดีมาก)กับการที่เราต้องไปเถียงกับผู้ดูแลสุสานเรื่องที่ภรรยาของเราไม่ได้จองที่ฝังสำหรับตัวเองเอาไว้ แต่สุดท้ายลูกชายของผมที่ชื่อชาร์ลี(ซึ่งโชคดีว่าเป็นนายกเทศมนตรี)ก็ไปหักคอเขาจนได้ที่มา การเป็นพ่อของนายกเทศมนตรีนี่มันก็มีข้อดีเหมือนกันนะ

นั่นล่ะ เราก็เลยได้หลุมศพมา มันทั้งเรียบง่ายและไม่มีอะไรโดดเด่น คือมีแต่แผ่นป้ายเล็กๆแทนที่จะเป็นป้ายหลุมศพขนาดใหญ่ ผิดกับแซนดรา เคน ที่นอนอยู่ข้างๆแคธี ป้ายหลุมศพของแซนดรา เคน นี่ใหญ่เว่อร์เชียว มันเป็นหินแกรนิตดำขัดเงาซึ่งมีรูปถ่ายสมัยมัธยมของแซนดี้พร้อมกับโควตคำพูดซึ้งๆของคีตส์ว่าด้วยการจากไปของเยาว์วัยและความงามพ่นทรายเอาไว้ข้างหน้า ดูเป็นแซนดี้มากๆ แคธีคงขำน่าดูถ้าได้รู้ว่าตัวเองต้องมานอนอยู่ข้างแซนดรากับป้ายหลุมศพอันเว่อร์วังอลังการแบบนี้ เพราะตลอดชีวิตของทั้งคู่ แซนดี้เหมือนจะมีความปรารถนาอยู่ลึกๆที่จะเอาชนะแคธีให้ได้ในทุกเรื่อง ตอนที่แคธีอบพายถาดหนึ่งไปขายในตลาดท้องถิ่น แซนดี้ก็อบไปขายบ้างสามถาด แถมยังมีการมาเขม่นแคธีอย่างไม่ค่อยแนบเนียนสักเท่าไหร่ตอนที่แคธีขายพายเสี้ยวแรกได้ก่อน แคธีเคยพยายามแก้ปัญหานี้ด้วยการชิงซื้อพายเสี้ยวแรกของแซนดี้ให้ก่อน แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่านี่มันทำให้อะไรๆดีขึ้นหรือแย่ลงกันแน่ จากมุมมองของแซนดี้น่ะนะ

ผมคิดว่าป้ายหลุมศพของแซนดี้อาจถือเป็นการพูดทีหลังดังกว่าก็ได้ เป็นการตอกกลับครั้งสุดท้ายที่ไม่สามารถโต้เถียงต่อได้ เพราะจะอย่างไร แคธีก็ตายไปแล้ว แต่ในอีกทางหนึ่ง ผมก็จำไม่ได้เลยว่ามีใครเคยมาเยี่ยมหลุมศพของแซนดี้บ้างหรือเปล่า สามเดือนหลังจากที่แซนดี้เสีย สตีฟ เคนก็ขายบ้านและย้ายไปอยู่รัฐแอริโซนาโดยมีรอยยิ้มที่กว้างขวางพอๆกับถนนไฮเวย์ 10 มลรัฐแปะอยู่บนใบหน้า หลังจากนั้นสักระยะหนึ่งเขาก็ส่งโปสการ์ดมาบอกผมว่าเขาไปลงเอยกับผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่น ซึ่งเธอคนนี้เคยเป็นดาราหนังโป๊เมื่อห้าสิบปีก่อน ผมรู้สึกแหยงตามเนื้อตัวไปหนึ่งสัปดาห์เลยหลังจากได้รู้เรื่องนั้น ลูกหลานของแซนดี้อาศัยอยู่ห่างไปอีกเมือง แต่อาจจะไปเที่ยวรัฐแอริโซนาบ่อยแค่พอๆกับที่พวกเขามาเยี่ยมหลุมศพของแซนดี้เท่านั้น หลังงานศพของแซนดี้ นอกจากผมแล้วก็คงไม่มีใครได้มาอ่านคำคมของคีตส์บนป้ายหลุมศพของเธออีกเลยมั้งเนี่ย และที่ผมได้อ่านเนี่ยก็เป็นเพราะผมต้องเดินผ่านมันไปที่หลุมศพของภรรยาเท่านั้น

ป้ายหลุมศพของแคธีจารึกไว้แต่ชื่อของเธอ(แคเทอรีน รีเบ็กก้า เพอร์รีย์) วันเกิด วันตาย และคำไว้อาลัย ซึ่งก็คือภรรยาและแม่ผู้เป็นที่รัก ผมจะอ่านคำนี้ซ้ำไปซ้ำมาทุกครั้งที่ผมมาเยี่ยมหลุมศพเธอ ก็มันอดไม่ได้นี่ มันเป็นคำพูดแค่ไม่กี่คำที่ช่างไม่เพียงพอแต่กลับสามารถสรุปชีวิตทั้งชีวิตของเธอได้อย่างลงตัว คำพูดนี้ไม่บ่งบอกอะไรเกี่ยวกับตัวเธอ ไม่บ่งบอกอะไรเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันหรือหน้าที่การงานของเธอ ไม่บ่งบอกว่าเธอมีความสนใจในเรื่องอะไรหรือชอบไปเที่ยวที่ไหน อ่านแล้วคุณจะไม่มีวันรู้เลยว่าเธอชอบสีอะไร ชอบทำผมแบบไหน ชอบพรรคการเมืองพรรคไหน หรือมีอารมณ์ขันมากน้อยอย่างไร คุณจะไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลยนอกจากเรื่องที่ว่าเธอคือผู้เป็นที่รัก ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริง เธอคงคิดว่าแค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว

ผมเกลียดการมาเยี่ยมหลุมศพ ผมเกลียดความจริงที่ว่าภรรยาผู้ซึ่งอยู่กินกับผมมาสี่สิบสองปีตายไปแล้ว ในเช้าวันเสาร์วันหนึ่งเธอกำลังกวนแป้งวาฟเฟิลอยู่ดีๆ แถมยังคุยกับผมไปด้วยเรื่องการทะเลาะเบาะแว้งในที่ประชุมห้องสมุดเมื่อคืนก่อน แต่แล้วจู่ๆเธอก็ลงไปนอนชักอยู่กับพื้นขณะที่โรคหลอดเลือดสมองกำลังสำแดงเดชอยู่ภายในหัวของเธอ ผมเกลียดที่คำพูดสุดท้ายของเธอคือ “ฉันเอาไอ้วานิลลานั่นไปเก็บที่ไหนเนี่ย”

ผมเกลียดที่ตัวเองกลายเป็นตาแก่พวกนั้น ตาแก่ที่ชอบมาสุสานเพื่อมาอยู่กับภรรยาที่ตายไปแล้ว ตอนที่ผมยังหนุ่มกว่านี้(มาก) ผมเคยถามแคธีว่านั่นมันมีประโยชน์อะไรกัน เนื้อเน่าๆกับกระดูกผุๆที่เคยเป็นคนกองนั้นมันไม่ใช่คนอีกต่อไปแล้ว มันก็เป็นแค่กองเนื้อเน่าๆกับกระดูกผุๆเท่านั้น คนๆนั้นจากไปแล้ว…ไปสวรรค์ ไม่ก็ไปนรก ไปที่ไหนสักแห่งหรือไม่ก็ไม่ใช่ที่ไหนเลย แบบนี้ให้ไปเยี่ยมเนื้อวัวชิ้นหนึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรกันหรอก แต่พออายุมากขึ้น คุณพบว่าตัวเองยังคิดอย่างเดิมอยู่ เพียงแค่ว่าคุณไม่แคร์แล้ว เพราะนั่นคือทั้งหมดที่คุณมีเหลืออยู่

แต่ไม่ว่าจะเกลียดสุสานมากแค่ไหน ผมก็ยังรู้สึกขอบคุณมันอยู่ดี ผมคิดถึงภรรยาของผม มันง่ายที่จะมาคิดถึงเธอที่สุสาน ที่ซึ่งเธอไม่ใช่อะไรเลยนอกจากคนตาย การมาคิดถึงเธอที่นี่มันง่ายกว่าการไปคิดถึงเธอตามสถานที่ต่างๆที่เธอเคยมีชีวิตอยู่

แต่ผมก็ไม่ได้อยู่นานหรอก ผมไม่เคยอยู่นาน แค่นานพอให้รู้สึกเจ็บแปลบตรงแผลใจที่ยังสดอยู่แม้จะผ่านมาเกือบแปดปีแล้วก็ตาม มันเป็นแผลที่ย้ำเตือนว่าผมยังมีอะไรให้ต้องทำนอกจากการมายืนอยู่ในสุสานเป็นตาแก่โง่เง่าสักคน พอผมรู้สึกถึงความเจ็บปวดนั้นแล้ว ผมก็หันหลังและเดินจากไปโดยไม่เหลียวกลับมาอีก นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้มาที่สุสานแห่งนี้ เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้มาเยี่ยมหลุมศพภรรยา แต่ผมก็ไม่อยากใช้ความพยายามมากเกินไปในการจดจำมัน ก็อย่างที่บอก นี่เป็นสถานที่ซึ่งเธอไม่ใช่อะไรเลยนอกจากคนตาย สิ่งนั้นมันไม่มีค่าพอให้จดจำ

แต่มาคิดดูอีกที การสมัครเป็นทหารก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอลังการอะไรขนาดนั้นเหมือนกัน

เมืองของผมเล็กเกินกว่าที่จะมีสำนักงานสัสดี ผมเลยต้องขับรถไปสมัครถึงเมืองกรีนวิลล์ซึ่งเป็นที่ตั้งเทศมณฑล สำนักงานสัสดีที่นี่ตั้งอยู่ในห้องเล็กๆหน้าห้างสรรพสินค้าชั้นเดียว ขนาบด้วยร้านขายเหล้าแบบถูกกฎหมายประจำรัฐและร้านรับสัก คือถ้ามาแถวนี้แล้วคุณอาจตื่นมาเจอปัญหาในตอนเช้าได้เลย ขึ้นอยู่กับว่าเข้าร้านไหนก่อนหลัง

ภายในสำนักงานยิ่งดูจืดชืดเข้าไปอีก ถ้ามันจะเป็นไปได้น่ะนะ ภายในประกอบด้วยโต๊ะทำงานที่มีคอมพิวเตอร์และปรินเตอร์ หลังโต๊ะมีคนนั่งอยู่หนึ่งคน หน้าโต๊ะมีเก้าอี้วางไว้สองตัว ริมผนังยังมีอีกหกตัว ตรงโต๊ะเล็กตัวหนึ่งจัดวางไว้ด้วยข้อมูลเกี่ยวกับการเกณฑ์ทหาร นิตยสารไทม์ และนิตยสารนิวส์วี้กฉบับเก่าๆ แคธีกับผมเคยมาที่นี่แล้วเมื่อสิบปีก่อน และดูท่าว่าของทุกชิ้นจะยังคงวางอยู่ที่เดิม แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง รวมถึงนิตยสารด้วย แต่คนที่นั่งอยู่นั่นดูเหมือนไม่ใช่คนเดิมกับเมื่อสิบปีก่อน อย่างน้อยผมก็จำได้ว่าเจ้าหน้าที่เกณฑ์ทหารคราวที่แล้วไม่ได้มีผมเยอะขนาดนี้ นมก็ด้วย

เจ้าหน้าที่เกณฑ์ทหารกำลังง่วนอยู่กับการพิมพ์คอมพิวเตอร์จนถึงกับไม่เงยหน้าขึ้นมาเลย “รอแป๊บนึงนะ” เธอเอ่ยเบาๆเหมือนเป็นแค่การตอบสนองแบบ*พาฟลอฟเวลาที่ประตูเปิดเท่านั้น

(*Pavlovian response เป็นคำที่ได้มาจากการทดลองของนักจิตวิทยาที่ชื่ออิวาน พาฟลอฟ โดยเป็นการทดลองกับสุนัข ผู้ทดลองจะสั่นกระดิ่งทุกครั้งก่อนที่สุนัขจะได้รับอาหาร นานเข้า สุนัขจะมีน้ำลายไหลทุกครั้งที่ได้ยินเสียงกระดิ่งแม้จะไม่ได้รับอาหารแล้วก็ตาม)

“ไม่ต้องรีบ” ผมบอก “เพราะดูแล้วท่าทางจะคนแน่นเอี้ยดเชียว” ความพยายามที่จะเล่นมุกประชดประชันของผมไม่ประสบผลสำเร็จ แป้กสนิท ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติในช่วงสองสามปีมานี้ ดีใจจริงๆที่ได้เห็นว่าฟอร์มของผมไม่มีตกเลย ผมนั่งลงหน้าโต๊ะทำงานและรอให้เจ้าหน้าที่เกณฑ์ทหารคนนั้นทำอะไรก็ตามของเธอให้เสร็จ

“มาหรือไป?” เธอถามโดยที่ยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมา

“อะไรนะ?” ผมถาม

“มาหรือไป” เธอทวนคำ “เข้ามาเซ็นเอกสารแสดงความจำนง หรือจะไปเริ่มประจำการแล้ว”

……………………………………………………………………………………..

 

ติดตามบทที่หนึ่ง (ครึ่งหลัง)​ ได้ทาง http://www.facebook.com/solisbooks เร็วๆนี้ค่ะ

 

Share this:

  • Click to share on Facebook (Opens in new window)
  • Click to share on Twitter (Opens in new window)
  • Click to share on Tumblr (Opens in new window)
Create a website or blog at WordPress.com
  • Follow Following
    • solis-books.com
    • Already have a WordPress.com account? Log in now.
    • solis-books.com
    • Customize
    • Follow Following
    • Sign up
    • Log in
    • Report this content
    • View site in Reader
    • Manage subscriptions
    • Collapse this bar
 

Loading Comments...